วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่กำลังได้รับความสนใจและให้ความสำคัญว่าเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับเด็ก สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือจะให้เด็กเรียนประวัติศาสตร์กันอย่างไร วิชานี้ถึงจะมีประโยชน์ที่จะทำให้เด็กสามารถ "คิดเป็น" ได้จริง ๆ มากกว่าที่จะเป็นวิชาที่จะมุ่งให้จดจำอะไรได้มากมายแต่คิดไม่เป็น ก็คงไม่มีประโยชน์ ??
จะเรียนประวัติศาสตร์อย่างไรในหลักสูตรใหม่
สายพิน แก้วงามประเสริฐ
ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนแกนนำ และโรงเรียนที่มีความพร้อมเริ่มต้นใช้หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2551 ซึ่งจัดเป็นหลักสูตรแกนกลางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดตัวชี้วัดมาให้ว่าเมื่อนักเรียนเรียนจบหลักสูตรแต่ละช่วงชั้น นักเรียนต้องมีความรู้ความสามารถตามตัวชี้วัดอย่างไร
ในส่วนของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีการปรับหลักสูตรค่อนข้างชัดเจน ด้วยการกำหนดให้แยกวิชาประวัติศาสตร์ออกต่างหากอีก 1 รายวิชา ตามกระแสเสียงเรียกร้องของสังคมที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน เพื่อปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดจิตสำนึกถึงความรักชาติ และความภูมิใจในท้องถิ่นของตน
เมื่อกระทรวงศึกษาธิการตระหนักและเห็นความสำคัญจำเป็นที่จะต้องเรียนประวัติศาสตร์ ความสำคัญของการเรียนเรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่การได้กำหนดให้เรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน โดยแยกเป็นวิชาอิสระออกจากวิชาสังคมศึกษาเท่านั้น แต่ควรคิดต่อไปว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้การเรียนการสอนประวัติศาสตร์บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายสำหรับวิชานี้
เป้าหมายคือ จะสอนกันอย่างไรจึงจะทำให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบระเบียบ จนทำให้เข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและความสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ รวมไปถึงมีความเข้าใจความเป็นมาของชาติ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา มีความรักและความภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย
มาตรฐานการเรียนรู้ในสาระประวัติศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง และกระทบต่อปัจจุบันอย่างไร แล้วจะสอนอย่างไรจึงจะทำให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรจัดอบรมสัมมนาเพื่อให้ครูที่จะสอนวิชาประวัติศาสตร์ โดยมิได้เรียนมาทางด้านประวัติศาสตร์หรือด้านสังคมศึกษาโดยเฉพาะ ได้มีความรู้เรื่องการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน
ตัวเลขของผู้ได้รับการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดตามภูมิภาคต่าง ๆ 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นจำนวน 748 คนนั้นถือว่าเป็นจำนวนน้อย หากเทียบกับครูผู้สอนที่ต้องสอนวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนน่าจะใช้ครูหลายพันคน เพราะโรงเรียนทั่วประเทศหากไม่ใช่โรงเรียนระดับประถมศึกษาขนาดเล็ก น่าจะมีครูมากกว่า 1 คนต่อโรงเรียนเพื่อสอนประวัติศาสตร์ ครูที่จะเข้าใจการนำวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปใช้ มีมากน้อยเพียงใด การเรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เกิดความทรงจำว่าอะไรเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงเท่านั้น แต่การเรียนประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์น่าจะเป็นหนทางให้เกิดการคิดวิเคราะห์เป็น ซึ่งต้องเริ่มต้นที่ครูก่อน
ครูที่ไม่จบด้านประวัติศาสตร์โดยตรงก็สามารถสอนวิชานี้ได้ หากเข้าใจธรรมชาติของวิชา ว่าไม่ใช่เรื่องของความทรงจำ การบอกเล่าหรือเป็นความเชื่ออะไรบางอย่าง แต่วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่พยายามคิดหาเหตุผลอธิบายปรากฎ การณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างรอบด้าน ครูจึงต้องได้รับการปลูกฝังให้สะสมความรู้อยู่เสมอ ด้วยการอ่านมาก คิดมาก และฝึกให้มีใจคอกว้างขวาง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่าฝ่าแรง เป็นเรื่องที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นแก่คนในสังคมไทยอยู่แล้ว รวมทั้งครู เมื่อครูมีบุคลิกภาพเช่นนี้ย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเช่นกัน
การเรียนประวัติศาสตร์ให้เกิดจิตสำนึก ผู้สอนและผู้เรียนต้องรู้สึกสนุกสนาน หรือมีความอยากที่จะเรียน ความอยากที่จะเรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากทั้งผู้สอนและผู้เรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชา เรียนอย่างไรให้สนุกสนาน คงมิใช่การเรียนแบบท่องจำกันหูดับตับไหม้ จนจำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว หรือจำได้แต่สับสนปนเปจนไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริงเพราะเหตุใด
ดังนั้นการกำหนดหลักสูตรให้เด็กต้องเรียนประวัติศาสตร์เพิ่มอีก1 วิชา เป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อสัปดห์ หัวใจสำคัญของการเรียนคงไม่มุ่งหวังให้เด็กจำอะไรได้อย่างที่ครูบอก แต่น่าจะให้เด็กคิดอะไรได้มากกว่าที่ครูคิด หรือคิดให้แตกต่างออกไป รวมทั้งคิดวิพากษ์ตำราเรียนที่เรียนได้อีกด้วย เพราะพบบ่อย ๆ ว่าตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนมีบางเรื่องที่ผู้เขียนมีทัศนคติอยู่เพียงมุมใดมุมหนึ่ง ทำให้เกิดความคิดคับแคบ วิชาประวัติศาสตร์ควรเป็นวิชาที่ปลูกฝังความคิดอิสระ บนพื้นฐานของข้อมูลหลักฐานอย่างรอบด้าน มากกว่าที่จะถูกกล่อมเกลาให้เป็นคนที่เชื่ออะไรตาม ๆ กันมา โดยไม่วิเคราะห์วิพากษ์หลักฐานอย่างรอบด้าน
นอกจากปัญหาว่าจะสอนกันอย่างไรแล้ว ปัญหาต่อมาคือจะเรียนเรื่องอะไรกันบ้าง จึงจะเป็นประโยชน์โภชผลต่อการปลูกฝังสติปัญญาของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ในอดีตที่ผ่านมาวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน เป็นวิชาที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังบุคลิกภาพ จิตสำนึกทั้งในความเป็นไทย ที่แยก “พวกเรา” ออกจาก “พวกเขา” ถ้าหากไม่ใช่พวกเราก็ต้องไม่ใช่ “คนไทย” เป็นต้น วิชาประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้ให้เกิดความรักชาติ ปลุกระดมผู้คนให้เชื่อผู้นำจนก่อให้เกิดการสู้รบแย่งชิงดินแดน ทรัพยากรจากดินแดนอื่น ๆ โดยมิรู้สึกว่าเป็นสิ่งควรทำหรือไม่ควรทำ
เจตนารมณ์ของวิชาประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมารับใช้การเมือง ทั้งในยุคก่อนรัฐชาติและรัฐชาติ จนแม้แต่ในปัจจุบัน ทำให้เนื้อหาในตำราเรียนประวัติศาสตร์จึงวนเวียนอยู่กับการรบราฆ่าฟัน เรื่องศึกสงครามกับประเทศรอบด้าน ในขณะที่อีกภาพหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้มีการประชุมอาเซียนซัมมิท จนเกิดกฎบัตรอาเซียน กล่าวถึงประชากรอาเซียน เหมือนความสัมพันธ์เหนียวแน่นปานจะกลืนกิน ขณะที่เบื้องหลังในตำราเรียนประวัติศาสตร์ยังพูดถึงศึกสงครามที่ผู้ชนะย่อมเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองอย่างเลิศหรู ในฐานะที่ได้เปรียบคนอื่น หากพ่ายแพ้ ตำราเรียนก็จะพยายามหาเหตุผลอันชอบธรรมให้กับความพ่ายแพ้ของตนเอง
การเรียนประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องการสู้รบกับเพื่อนบ้านอื่น ๆ หรือการพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองนั้น ค่อนข้างจะตรงกับสำนวนที่ว่า “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” ซึ่งไม่ใช่นิสัยที่ควรปลูกฝังให้กับคนไทย แม้ว่าจะพบเห็นอยู่มิใช่น้อยอยู่ในสังคมการเมืองไทย จนไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง เพราะกลายเป็นว่าผู้ชนะย่อมเสียงดังกว่าผู้แพ้เสมอ
ปัจจุบันวิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้มีหน้าที่รับใช้การเมืองและปลูกฝังความคิดใด ๆ วิชาประวัติศาสตร์ควรเป็นวิชาที่สามารถเจริญปัญญาให้กับเยาวชนรู้วิธีการคิดวิเคราะห์ แยกแยะผิดถูกชั่วดีได้ อีกทั้งควรเป็นวิชาที่ได้นำอดีตมาทบทวนความผิดพลาด เพื่อระมัดระวังไม่ให้ปัจจุบันเกิดความผิดพลาดเช่นนั้นอีก
ความจำเป็นในการทบทวนความผิดพลาดในอดีต เพื่ออยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติ และปัญญาจะนำไปสู่อนาคตที่มั่นคงร่วมกันของผู้คนในสังคม ดังนั้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ควรบรรจุในตำราเรียนจึงไม่ควรเป็นเรื่องเชิงอภินิหารของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนคนจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่กระทบต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
เนื้อหาในตำราเรียนจึงไม่ควรเน้นไปที่การทำศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยหวังจะให้เกิดการปลูกฝังความรักชาติอันจะนำไปสู่การพัฒนาความเจริญของประเทศ เพราะปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เมืองไทยไม่ค่อยเจริญเท่าที่ควร ให้สมกับเป็นสุวรรณภูมิอันอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรพร้อมพรั่ง ไม่ใช่เกิดจากการรุกรานจากชาติอื่น แต่เหตุแห่งความไม่เจริญของเราเกิดจากการที่คนไทยบั่นทอนความเจริญกันเอง ในลักษณะที่ว่าเมื่อไม่มีศึกจากภายนอกจึงเกิดศึกภายใน อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้
การเรียนประวัติศาสตร์จึงจำเป็นต้องหลุดพ้นจากการรับใช้การเมือง เนื้อหาที่เรียนจึงควรเรียนทุกเรื่องที่ปรากฏขึ้นในสังคมไทย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นบาดแผลของใครหรือไม่ก็ตาม
เนื้อหาที่ควรเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นเด็กในวัยที่เริ่มคิดวิเคราะห์เป็น และเป็นวัยที่ควรได้รับการปลูกฝังให้คิดเป็น เนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เรียนควรเป็นเรื่องราวใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในปัจจุบันนี้ แต่ตำราเรียนกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้น้อยมาก หรือบางเรื่องแทบจะไม่อยากกล่าวถึงเสมือนการปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย หากเป็นเช่นนี้การเรียนประวัติศาสตร์หรือไม่เรียน แทบจะไม่มีความหมายอะไรแก่สังคมเลย
เนื้อหาที่ควรจะเรียน เช่นเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยเฉพาะสีสันการเมืองสมัยจอมพล ป. จอมพล สฤษดิ์ ที่ทิ้งมรดกตกทอดถึงปัจจุบัน เช่น บทเรียนการเมืองในวังวนของการปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากนี้เรื่องที่ควรเรียน คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้านี้เคยกำหนดให้เป็นเหตุการณ์สำคัญของชาติที่นำไปสู่ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน แต่ตำราเรียนยังคงมีเนื้อหาเรื่องนี้เพียงน้อยนิด
ยังไม่ต้องนึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถือเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่เรียกว่า “คนไทย” ถูกกล่าวถึงในตำราเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียงไม่กี่บรรทัดว่า “เช้าวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าไปจับกุมนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์...” ข้อความแค่นี้ช่างไร้อารมณ์ความรู้สึก และความรับผิดชอบของผู้คนในสังคม ที่ขัดแย้งกับภาพประกอบในตำราเรียนที่มีซากศพนอนเกลื่อนกราดในเหตุการณ์นี้ แล้วเราจะอธิบายประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์นี้ว่าอย่างไร
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว จนไม่อาจปิดผืนฟ้าด้วยฝ่ามือได้ การเรียนประวัติศาสตร์จึงควรเรียนในทุกเรื่อง เพื่อให้เกิดการทบทวนความผิดพลาดในอดีต จะได้เกิดความระมัดระวังป้องกันไม่นำไปสู่หนทางความขัดแย้งเหมือนในอดีต มากกว่าที่จะให้เรียนเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว วิชาประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่วิชาที่จะเรียนเพื่อรับใช้ใครแต่ฝ่ายเดียว แต่ควรเป็นวิชาที่มุ่งเรียนเพื่อรับใช้ประชาชน ด้วยการไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความผิดพลาดเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ความสำคัญจำเป็นของการกำหนดให้เรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน จึงไม่ใช่แค่กำหนดให้ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนประวัติศาสตร์แล้วก็จบ แต่ควรคิดต่อว่าจะเรียนจะสอนประวัติศาสตร์กันอย่างไร ให้เหมาะกับการเรียนในหลักสูตรใหม่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่เห็นว่าจะเป็นความใหม่ตรงไหนของการปฏิรูปการศึกษาในรอบสองนี้
วิชาประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่วิชาที่จะเรียนเพื่อรับใช้ใครแต่ฝ่ายเดียว แต่ควรเป็นวิชาที่มุ่งเรียนเพื่อรับใช้ประชาชน ด้วยการไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความผิดพลาดเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ แต่การจัดการเรียนการสอนดังกล่าว ก็เหนื่อยและยากเหมือนกันนะครับ