มนต์รักเกาหลี


 

มาเกาหลีปีนี้ มีแต่เรื่องกินและเจรจาความข้อตกลง

ที่ผมเอาเรื่องกินขึ้นมาก่อนเพราะว่า เมื่อบรรดาเพื่อนๆชาวเกาหลีทั้งหลาย พอรู้ว่าผมจะมา ต่างเตรียมโปรแกรมให้ผมเป็นการใหญ่ ถึงขนาดแย่งคิวกันเลยจะบอกให้ ฮ่ะฮ่ะ เดี๋ยวจะหาว่าจิ๊บๆ

พอผมมาถึง Incheon Airport ศาสตราจารย์ลี เบียงโด แห่ง Hankok University of foreign Studies ก็ยืนรอยิ้มหวานรับอยู่แล้ว และรีบบอกตารางให้ผมทราบว่าได้จัดการอะไรให้บ้างแล้ว

อันดับแรกพาผมไปพักที่โรงแรม Pacific Hotel ย่านอินซาดง ที่มีแหล่งชอบปิ้งทันสมัยหลากหลายให้เลือกซื้อ ซึ่งตอนแรกแกเสนอว่าท่านอธิการบดีบอกให้พาไปพักที่เกตส์เฮ้าส์ของมหาวิทยาลัย แต่ผมเปลี่ยนเป็นโรงแรมดีกว่า เพราะสะดวกกว่ากันเป็นไหนๆ ผมเลยลงรายละเอียดของโรมแรมให้ดูเล็กน้อย เผื่อท่านใดสนใจไปเกาหลีจะได้ไปพักบ้าง

พอเช็คอินเสร็จ แกก็ถามผมว่า อยากกินอะไร ผมยังติดลมเรื่องเนื้อย่างมัสสึซากะอยู่ เลยบอกไปว่าอยากกินเนื้อย่างเกาหลี แกก็ยิ้มหวานขึ้นมามากกว่าเก่าแล้วบอกว่า สบายมากร้านอร่อยอยู่ใกล้โรงแรมแค่นี้เอง เดินข้ามถนนก็ถึงแล้ว

ร้านอาหารอยู่ในย่านช็อบปิ้งอินซาดง นั่นแหละครับ มีทั้งสารพัดชนิดอาหารให้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนดูลานตาไปหมด ประกอบกับร้านชอบปิ้งนานาชนิดดูลานตาไปหมดไม่ว่าจะเป็นสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรือของราคาถูกแบบรถเข็น

 

ร้านที่แกพาผมไป เป็นร้านอาหารประเภทย่าง เพราะพอนั่งโต๊ะก็มีเตาย่างพร้อมปล่องดูดควันที่มีท่อยาวลงมาเหนือเตาเพียงฟุตเดียวและสามารถปรับให้ขึ้นสูงหรือต่ำได้ตามต้องการ

เมนูวันนั้นผมไม่ทันได้ถามชื่อ เพียงแต่รู้ว่าเป็นเนื้อวัวชิ้นยาวติดกระดูกปรุงรสมาเสร็จ สองชิ้นใหญ่ ย่างแล้วตัดด้วยกรรไกรพอคำ เสริฟ์มาพร้อมกับเครื่องเคียงคือผักสดจานใหญ่และกิมจิประมาณเจ็ดแปดถ้วย

ใครก็ตามที่เคยกินอาหารเกาหลี จะรู้เลยว่า ไม่ว่าจะกินอาหารประเภทใดก็ตาม ต้องมีของเคียงเป็นกิมจิชนิดต่างๆมาเคียงเสมอ ยังกะดาวเคียงเดือน หรือไมค์มากะกอลฟ์อย่างไงอย่างงั้น

พอย่างเนื้อสุกพอดี แกก็สาธิตให้ดูว่าวิธีกินนั้นเป็นฉันใด คือเอาเนื้อที่ย่างเสร็จมาห่อด้วยผักสด แล้วเอาเครื่องชูรสคือน้ำจิ้มเป็นนซอสถั่วหรือซอสพริกแดงตำเหยาะเข้าไป ยัง...ยัง...ยังไม่ต้องอ้าปาก ต้องเลือกเอากิมจิอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสองอย่างก็ได้ไม่ผิดรัฐธรรมนูญข้อไหนเลย วางประกอบพอดูงาม แล้ว....ใช่ครับอ้าปากแต่พองามใส่ไปทั้งคำ

อั้ม...อึ้ม...อั้ม...อุ๊บ...อั๊บ จะอ้าปากบรรยายก็ยากอยู่เพราะขนาดเนื้อห่อผักนั้นใหญ่พอคับเต็มปาก คนไทยที่พร้อมด้วยมารยาทผู้ดีอย่างผมต้องปรับขนาดของปากให้ประสานกับขนาดของผักและเนื้อคำต่อไปถึงจะพอบอกได้ว่า

อาหร่อย...ลำแต้แต้ ! ที่จริงผมร้องเป็นภาษาเกาหลีว่า อาจู มัสซิโซโย่ะ แปลไทยว่าอร่อยมาก

ตบท้ายด้วยข้าวหน้าตาดี(ข้าวสวย) กินกับซุบเต้าเจี้ยวใส่ผักตามธรรมเนียมเกาหลีที่กินข้าวที่หลังสุดเป็นจานสุดท้าย ชาวเกาหลีส่วนใหญ่ผมเห็นกินไปๆก็เอาข้าวเทใส่ไปในถ้วยน้ำแกงเลย เหมือนที่ผมเคยทำตอนเด็กๆเลย

พอกินเสร็จแกจึงกางกระดาษมาอ่านให้ฟังว่าจัดโปรแกรมให้ผมอย่างไรบ้าง ปากก็บ่นพึมพัมเป็นเชิงต่อว่าเวลาผมให้น้อยไป ยังมีหลายคนเข้าคิวรอเลี้ยงผม ฮ่า ฮ่า ขนาดนั้นเจียว

ตกลงพรุ่งนี้เช้า 10.00 น. ผมต้องไปพบกับท่านอธิการบดี Hankok University of foreign Studies  เพื่อเยี่ยมคาราวะและสนทนาเรื่องความร่วมมือ ตามด้วยการรับเงินบริจาคเข้าศูนย์เกาหลีศึกษาที่ผมจัดตั้งขึ้น เสร็จแล้วตอนเที่ยงท่านอธิการบดีเลี้ยงรับรอง

ตอนบ่ายไปพบกับหัวหน้าภาควิชาภาษาไทย เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดข้อแลกเปลี่ยนนักศึกษาและกิจกรรม ตอนบ่ายหากยังไม่เหนื่อยไปเลือกซื้อของเข้าศูนย์เกาหลีแล้วกับโรงแรม ตกเย็นอาจารย์สาขาวิชาเกาหลีที่ผมส่งมาศึกษาต่อจะมาขอพบและรับประทานอาหารเย็นร่วมกันโดยมีครอบครัวของท่านศาสตราจารย์ลี เบียงโด จองเป็นเจ้าภาพ แค่นี้ก็หมดเวลาไปหนึ่งวันแล้ว

ที่ผมต้องเรียกคนเกาหลีพร้อมขานชื่อพร้อมนามสกุลเต็มยศนั้น เพราะว่าจะเรียกเพียงชื่อสกุลเฉยไม่ได้ เพราะเล่ากันว่า อยู่ที่เกาหลีนั้นหากปาของขึ้นไปบนฟ้า ตอนตกลงมาจะถูกหัวคนเกาหลีอยู่สี่ห้าคนเท่านั้น คือ

นายคิม-นายจาง- นายจุง -นายปัก หรือลี

ซึ่งเป็นห้านามสกุลที่ท็อบฮิทที่สุดในเกาหลี ฮ่า ฮ่า

 

วันรุ่งขึ้น (20 พค.) รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ Dr. Soung จาก Dong Duk University จะมารับผมแต่เช้าพาไปเลือกซื้อของต่อและจะพาไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย พร้อมเป็นเจ้าภาพตลอดวันและคืน ซึ่งแกก็บอกรายละเอียดไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรบ้างเพราะคนละมหาวิทยาลัยกัน

ซึ่งคิววันต่อไปเป็นของ Dr. Lee Shin Mo Woman University จะมารับช่วงต่อเอาตัวผมไปสองวัน แต่ตกลงกันว่าวันที่ 22 นั้นต้องปล่อยตัวผมมาเพื่อไปพบกันอธิการบดีของ Hansung University ในตอนเช้า แล้วตอนเที่ยงผมก็ต้องไปกินข้าวตามคำเชิญของครอบครัวเพื่อนสนิทชาวเกาหลีที่รู้จักกันมานาน คือ DR. Kim Hyng Kyew และ Dr. Won เป็นภัตตาคารจีนในย่านใกล้ๆมหาวิทยาลัย

 

แกทำหน้าซีเรียสบอกผมว่า ในงานนี้ต้องปฏิเสธอธิการมหาวิทยาลัย Hansung University เรื่องเลี้ยงข้าวเที่ยงไปเพราะติดทางครอบครัวนี้ ซึ่งผมเองก็อยากจะพบเพราะได้ข่าวมาว่าเป็นโรคมะเร็งปอดในระยะที่สาม

เสร็จแล้วแกก็ทำท่ากระซิบกระซาบบอกว่า ตอนเย็นของวันที่ 21 นั้น ช่วยพูดกับ Dr. Lee Shin Mo ให้หน่อยว่า ทางครอบครัว  Dr.Kim Yoon Jin (สับสนเรื่องชื่อมั้ยครับ?) นั้นก็อยากเชิญผมทานอาหารเย็นด้วย แต่คิวเต็มหมดแล้ว ผมก็รับปากว่าจะพูดให้

ที่จริงไม่ใช่อะไรหรอกครับ ในบรรดาที่เอ่ยนามมาทั้งหมดนั้น ต่างเคยมาเชียงใหม่และมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับผมมาแล้วอย่างดีทุกคน(อย่าคิดมากนะ!)... ในแง่มุมต่างๆกัน เช่นเคยร่วมงาน เคยตีกอล์ฟด้วยกัน เคยช่วยเหลือกัน เคยร่วมดื่มน้ำสาบานแต่ยังไม่ถึงขั้นกรีดเลือด ซึ่งส่วนใหญ่ต่างนับถือผมเป็นพี่ใหญ่ เรียกผมว่า ฮ่องงิ่น (พี่ใหญ่) กันทุกคน ยกเว้น Dr.Kim Yoon Jin คนเดียวที่มีศักดิ์เป็นฮ่องงิ่นและเป็นครูกอล์ฟของผม ซึ่งต่างเคารพรักนับถือกันเป็นครอบครัวเชียงใหม่-เกาหลี กับผมด้วยกันทุกคน

ดังนั้น หากเป็นไปได้ ผมจึงอยากแชร์เวลาให้กับทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดความน้อยใจ

ซึ่งก็จบลงได้ด้วยดี เมื่ออาจารย์ลี (เบียงโด) ต่อโทรศัพท์ให้ผมพูดกับอาจารย์ลี (ชินโม) เมื่ออธิบายทุกอย่างแล้ว อาจารย์ลี(ชินโม)... ชักงง...ก็ตกลงยกเวลาตอนเย็นวันที่ 21 ให้อาจารย์คิม ยุนจิน และครอบครัว แต่ขอต่อรองว่า เย็นวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายนั้น อาจารย์ลี เบียงโด ต้องยกให้อาจารย์ลี ชินโม เป็นเจ้าภาพ  เฮ้อ! ชักงง กับชื่อ ลี ลี คิม คิม J

ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เพราะผมต้องย้ายออกจากโรงแรม เพื่อไปนอนค้างที่บ้านอาจารย์ลี ชินโม ตั้งแต่คืนวันที่ 21 จะสะดวกกับโปรแกรมทั้งหมดในการรับและส่ง เนื่องจากผมต้องเดินทางกลับในเช้าวันที่ 23 ในเวลา 10.00 น. จะอยู่ในความรับผิดชอบของอาจารย์ลี ชินโม ที่ต้องไปส่งผมที่สนามบินให้ทันในเวลา 8.00 น. ซึ่งข้อตกลงนี้ ทำให้อาจารย์ลี ชินโม ชอบใจมาก ถึงกับยิ้มหวานกว่าใครและกระซิบบอกผมว่า จะมีรายการพิเศษสุดให้ผมได้ทดลองแน่ๆ

ครับ จะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องเล่าต่อในตอนต่อไป J J

ทีแรกผมก็ทำเป็นสงวนทีท่าไม่ถามอะไร ปล่อยให้บงการชีวิตของผมในขณะที่ปลงใจอยู่กับแก ซึ่งแกก็จัดโปรแกรมให้ผมเสียแน่นเปรี๊ยะ หลังจากคืนวันที่ 21 หลังจากแกกับ ดร.ซุง พาผมกินอาหารไทยชื่อ ไทยการ์เด้นส์ ถนนอีเทวอน ซึ่งเป็นอาหารไทยมีชื่อและอร่อยมากในกรุงโซลเรียบร้อยแล้ว แกก็พาผมไปนั่งกินเบียร์กันสามคน ตามประเพณีเกาหลีที่ชอบสังสรรค์และเวลาเอ็นจอยประสาเพื่อนสนิทต้องกินไปย้ายร้านไปกินไป อย่างน้อยจนครบสามร้านถึงจะเลิกรา แสดงว่ารักกันจริง

คนเกาหลีนั้นบอกผมว่า หากจะรักกันจริง ต้องทำสามอย่างร่วมกัน

คือ หนึ่งต้องกินข้าวด้วยกัน สองต้องกินเหล้าร้องเพลงเฮฮาด้วยกัน สามต้องอาบน้ำด้วยกัน(บรื้ออออ!) จึงจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนซี้กันได้

ไอ้สองอย่างแรกนั้น พอเข้าใจ แต่อย่างที่สามนั้นยังงงอยู่ พอแกเห็นคิ้วผมทำเครื่องหมายคำถาม แกจึงตัดบทว่า เฮอะน่า...แล้วจะรู้เอง...ไปกินเหล้ากันก่อนดีกว่า

ธรรมเนียมการกินเหล้าของเกาหลีจะเข้มข้นและดุเดือดกว่าไทยมาก เช่น เริ่มต้นจากการดื่มเหล้าโชยุ ซึ่งเป็นเหล้าขาวทำจากข้าว กลิ่นหอมแต่ดีกรีแรงประมาณยี่สิบดีกรี คนที่มีอายุน้อยกว่าจะรินเหล้าโชยุลงในแก้วใสผอมสูงสองนิ้วแล้วยกให้ผู้อาวุโสดื่มก่อน หลังจากนั้นผู้อาวุโสกว่าก็จะยินก็จะรินคืนให้ตอบแทน

หากสนิทกันมาก ก็จะเอาแก้วใบเดิมนั้นแหละ เอาผ้าเช็ดรอบปากแก้วพอเป็นพิธีแล้วจุ่มลงในแก้วน้ำแล้วรินคืนให้ผู้อาวุโสอีกมครั้ง หากโต๊ะนั้นมีผู้อาวุโสเพียงคนเดียวเหมือนผม ก็จะแย่หน่อยเพราะจะมีผู้มายกจอกคาราวะบ่อยครั้ง

แต่ผมก็ใช้วิธียกจิบที่ริมฝีปากพอเป็นพิธี โดยเม้มปากไว้ เลยยืนหยัดอยู่ได้นาน ฮ่า ฮ่า

พิธีการดื่มจะวนเวียนไปอย่างนี้ จนได้เวลาพอสมควรเริ่มดีได้ที่แล้ว การดื่มจะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่สอง คือดื่มวิสกี้เพียวๆโดยรินผ่านน้ำแข็งเท่านั้น แล้วยกดื่มคาราวะแบบเดิม จนคึกคักกันดีแล้ว จะเริ่มดื่มแบบที่สามที่เรียกกันว่า บอมส์ หรือ ทิ้งระเบิด คือ เอาแก้ววิสกี้หรือแก้วโซยุ ทั้งใบที่มีเหล้าเต็มหย่อนลงในแก้วเบียร์แก้วใหญ่แล้วยกขึ้นดื่ม

ผมคิดว่า คนเกาหลีคอแข็งมากจึงใช้วิธีการดื่มอย่างนี้ สังเกตเห็นว่าเหล้าหมดไปอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งชั่วโมงสามารถหมดได้ถึงสามขวด! คนไทยที่ไม่กินเหล้าอย่างผมจึงใช้วิธีคอยชวนคุยและใช้ผ้าเช็ดปากซับเหล้าไว้เรื่อย ถึงจะผ่านไปได้ แต่พวกน้องๆเกาหลีเขารู้ดีว่าผมไม่ใช่คอสุรา เขาจึงไม่ค่อยรบกวนเอาแต่ชนกันเองจนเสียงเริ่มอ้อแอ้

แต่จะเหลือไว้คนหนึ่งที่ไม่ดื่มเคย เป็นคนขับรถ...นี่เป็นสิ่งที่ดีที่ถือเป็นการปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดของคนเกาหลี

พอดื่มจบ แกก็พาผมกลับไปนอนที่อพาร์ทเม้นส์ที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงโซล แล้วบอกผมว่าแม่แกย้ายมาอยู่กับแกชั่วคราว เพื่อดูแลลูก(ที่อายุห้าสิบกว่า) และยินดีต้อนรับผม

 

พอเปิดประตูบ้านเข้าไป ก็พบว่าแม่แกยืนรออยู่แล้ว อายุประมาณเจ็ดสิบกว่าๆ รูปร่างผอมสูง...หน้าตาคล้ายแม่ผมแฮะ

 

สิ่งแรกที่แกพูดคือ กินอะไรมาแล้วยัง แล้วยิ้มพร้อมโค้งกล่าวคำทักทายผม...อันยองอันเซโย๊ะ (แปลว่า สวัสดี ใช้ได้ทุกโอกาส) เสร็จแล้วจึงถูกลูกดุตามธรรมเนียมว่าดึกแล้ว(เวลาประมาณตีหนึ่งกว่า) ทำไมยังไม่นอน  แกจึงชี้ไปที่ถาดวางเครื่องดื่มมีน้ำชาผสมมจินเซน แล้วบอกให้ดื่มก่อนนอนแก้เพลียหลังจากกินเหล้ามา

 

ทำให้ผมรำลึกถึงแม่ผมขึ้นมา พร้อมนึกในใจว่าแม่ทุกคนในโลกจะเป็นอย่างนี้

คือ รักและห่วงใยลูกเสมอ ทุกเวลา ไม่ว่าลูกนั้นจะอายุเท่าใดก็ตาม

ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ฝนตกหนักตั้งแต่หกโมงเช้า ผมตื่นมาแล้วอาจารย์ลีก็เข้ามาบอกว่าก่อนกินอาหารเช้าจะพาไปเดินเล่น

เดินเล่น! หา! เดินเล่นท่ามกลางฝนตกหนักนี่นะ!?...?

ผมก็เดินตามแกไปอย่างงงงง แกจัดการเอาร่มมาให้ พับขากางเกงขึ้นแค่เข่า เท่านี้ก็พร้อมออกไปเดินเล่นกลางฝนแล้ว อากาศหนาวเย็นในยามเช้าท่ามกลางฝนตกหนัก ผมนึกว่ามีแต่ผมกับอาจารย์ลีจอมเพี้ยนเท่านั้นที่อุตริมาเดินเล่นกลางฝน แต่พอแกเดินจ้ำอ้าวนำผมมาถึงโรงเรียนใกล้บ้าน มีสนามฟุตบอลกว้างใหญ่ผมก็เห็นว่ามีคนเพี้ยนๆกำลังเดินอยู่ก่อนแล้วสองสามคน แถมเมื่อผมเดินไปใกล้แก ปรากฏว่าแกเดินไปร้องเพลงเกาหลีโบราณเสียงดังลั่น เล่นเอาผมหันไปมองหน้าอาจารย์ลีแล้วทำคิ้วเป็นเครื่องหมายคำถาม

อาจารย์ลีอมยิ้มก่อนตอบผมว่า เป็นปกติน่า...คนเกาหลีชอบเดินออกกำลังและฝึกร้องเพลงไปด้วย

แหม! น่าพาไปออกรายการดันดารา

พอกลับมาผมถามแกว่า มันแปลกๆอยู่นา ปกติคนไทยนั้นเวลาฝนตกแปลว่าอยู่ในบ้าน ต้องมีธุระสำคัญเท่านั้นจึงจะออกจากบ้าน หากฝนตกหนักพาลจะหยุดเรียนหยุดงานด้วยซ้ำ อย่าว่าจะคิดไปเดินเล่นเล้ย!

อาจารย์จึงบอกว่า คนเกาหลีทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะอากาศเกาหลีนั้นแปรปรวนมาก เวลาร้อนก็ร้อนตับแลบ เวลาหนาวก็หนาวตับแทบบวม ติดลบ10-15องศาเซนเซียส!

ฉะนั้น เวลาฝนตกคนเกาหลีจึงฝึก การออกไปนอกบ้าน ทำชีวิตสามัญเป็นปกติ ฝนฟ้าอากาศจะแปรปรวนอย่างไร ก็หยุดคนเกาหลีไม่ได้

ผมฟังแล้วซึมไปค่อนวัน

มิน่าเล่า แม้ประเทศเขาจะเคยถูกปกครองโดยญี่ปุ่น และมีวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ในปัจจุบันเขาพัฒนาประเทศและคุณภาพคนไปก้าวหน้ามาก จนเป็นเสือที่น่ากลัวตัวหนึ่งในเอเชีย ซึ่งแม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐและญี่ปุ่นยังต้องขยาดในฝีมือ

      เรื่องเกาหลียังมีอีกมาก มีแต่เรื่องกินใครติดใจขอให้ดูภาพประกอบที่แถมมาให้ ฮ่าฮ่า! และยังมีเรื่องทีเด็ดความลับของอาจารย์ลี ชินโมกับผมอีก

      ตามมาอ่านคราวหน้า ดีกว่านะครับ J

<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-top-alt: auto; mso-margin-bottom-alt: auto;"> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-top-alt: auto; mso-margin-bottom-alt: auto;"> </p>

คำสำคัญ (Tags): #เกาหลี#อินซาดง
หมายเลขบันทึก: 265837เขียนเมื่อ 4 มิถุนายน 2009 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอบคุณค่ะ อาจารย์ขาที่พาเที่ยวญี่ปุ่นกะเกาหลี ตอนอ่านเรื่องเนื้อๆกำหนดไม่ทันเลยค่ะ น้ำลายไหลไปแล้ว แต่พอมาอ่านเรื่องเกาหลี เจอภาพประกอบมีสะดุ้ง แต่หมอไม่ได้เปิดตอนตีสองนะคะ แต่ ตอนบ่ายๆเองค่ะ แต่เปิดหลายครั้งเท่านั้นเอง

ฮ่า ฮ่า! ว่าแล้วไง

อาจารย์นึกภาพหมอเปิดอ่านเป็นคนแรกจริงๆ จึงแถมภาพนี้ให้ :)

สุดยอดค่ะศิษย์พี่ใหญ่ แต่แปลกใจว่าทำไมมีแต่กินแล้วน้ำหนักไม่เพิ่มเลย อันที่จริงอาจารย์เพิ่มน้ำหนักอีกสักสามสี่โลน่าจะดี จะได้เต่งตึงมีน้ำมีนวล แต่อย่าตึงขนาดตัวที่จ้องตู้เย็นนะคะ อันนั้นค่อนข้างมาทางศิษย์น้อง เมื่อกี้นึกขำเพราะไปเปิดตู้เย็นอยู่ แต่ไปกินน้ำนะ ^ ^ เรื่องสุรานี่เดี๋ยวนี้ก็ขอบายค่ะ เสียสุขภาพ สมัยวัยรุ่นพอได้ พอแก่ตัวลงหน่อยมันไม่ดี : ) แต่บันทึกนี้อ่านแล้วมึนกับชื่อมากเลยค่ะ อาจารย์มีเรียกผิดมั่งมั้ยคะนั่น เรื่องชื่อโหลนี่คนจีนเขาก็มีไม่แพ้กัน เขาว่าถ้าเดินไปบนถนนตะโกนเรียกเฉิน (แซ่ตั้ง) จะมีคนหันมาเป็นร้อย ไม่เคยลองเหมือนกัน กลัวบาทาคนแซ่นั้นค่ะ กลัวแบบว่าเรียกหาอะไร รุมตั้บๆๆๆ แบนติดดินพอดี

ฮ่า ฮ่า ขอบคุณน้องเล็ก

พี่ใหญ่ชอบกินจริง แต่กินน้อยในแต่ละครั้ง จนเพื่อนๆบ่นว่าชอบชวนไปกินแล้วปล่อยให้เพื่อนรับเคราะห์จนหุ่นดีไปตามๆกัน

เรื่องภาพหน้าตู้เย็น ไปเห็นที่ร้านอาหารในโตเกียว เห็นแล้วอึ้งจึงขอถ่ายมาลงให้ดูนี่แหละชอบตอนบั้นท้ายอวบตึงสีชมพูน่ารักมาก

เรื่องชื่อเพื่อนเกาหลีนั้น ใหม่ๆก็งง แต่นานๆไปชักคุ้นเรียกถูกชื่อถูกคนเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท