เทอมแห่งความอลหม่าน.....บันทึกของครูน้อยในเดือนที่สิบเจ็ดถึงยี่สิบเอ็ด มกราคม ถึง พฤษภาคม 2552
สวัสดีค่ะ ครูใหญ่
ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยครูใหญ่และเพื่อนนักอ่านทุกท่านที่เรื่องราวของครูน้อยหายไปหนึ่งเทอมเต็ม ถ้าพูดในแง่ร่างกายแล้ว ครูน้อยยังแข็งแรงดีอยู่ค่ะ เทอมที่ผ่านมาก็ไม่ได้เจ็บป่วยหนักๆ แต่อย่างใดเลย หากสาเหตุที่ไม่ได้มาอัพบล็อกถึงหนึ่งภาคการศึกษานั้น เป็นเพราะความไม่ลงตัวในเรื่องการเรียนของครูน้อยค่ะ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ และสุดท้ายก็คือ ไม่สามารถที่จะอัพบล็อกได้ว่าตกลงชีวิตอันแสนอลหม่านเทอมที่ผ่านมานั้น มันจะดำเนินไปในทิศใดกันแน่ แต่ว่า..หลังจากเทอมอันแสนปั่นป่วนนี้ผ่านมาจนถึงเวลานี้ ครูน้อยได้เห็นเหตุและผลของสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้และต้องการที่จะเรียบเรียงออกมาให้ทุกท่านได้อ่าน และหวังว่าอาจจะเป็นอุทธาหรณ์ให้แก่ท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ
(และกราบขอบพระคุณครูใหญ่และผู้อ่านหลายท่านที่กรุณาแสดงความเป็นห่วงเข้ามานะคะ ครูน้อยเกรงใจทุกท่านมากๆ ที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาค่อนข้างนานกว่าจะสามารถเขียนบล็อกนี้ต่อได้ และขอรับความผิดพลาดนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ)
เมื่อย่างเข้าสู่เทอมที่สี่ของการศึกษาปริญญาเอก ในตอนแรกชีวิตก็ดูจะเป็นไปตามกำหนดที่วางแผนไว้ค่ะ ในเทอมนี้ ครูน้อยตั้งใจจะลงทะเบียนเรียนสามวิชา เป็น Coursework 2 วิชาและ Research 1 วิชาดังนี้ค่ะ
ü Seminar in Strategic Management
ü Introductory Econometrics
ü Doctoral Dissertation Research
ü Seminar in Strategic Management เรียนเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยต่างๆ ของสาขาการจัดการเชิงกลยุทธ์ค่ะ โดยที่ลักษณะและรูปแบบการเรียนจะคล้ายคลึงกับวิชา Organizational Behavior และ Human Resource Management ที่เรียนในเทอมที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นวิชาบังคับตามหลักสูตร แต่แตกต่างกันที่ level of concentration ซึ่ง SM นี้จะเน้นการวิจัยในระดับ Corporate หรือ Organization มากกว่าในระดับ Team/Group หรือ Individual เช่นสองวิชาแรก
เนื่องจากงานที่ให้ในชั้นเรียนจะคล้ายคลึงกับวิชา Organizational Behavior และ Human Resource มาก ก็จะขอเล่าเพิ่มเติมในส่วนที่แตกต่างนะคะ อาจารย์ผู้สอนจะเน้นการประยุกต์ใช้ค่อนข้างมากกว่าในวิชา HR โดยมีการเชิญบุคคลภายนอกที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาในภาคเอกชนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักศึกษา และในส่วนที่แตกต่างจากสองวิชาที่ได้เรียนไปแล้วก็คือ วิชานี้ไม่มี presentation ค่ะ แต่ครูน้อยต้อง lead class discussion สองครั้ง เพราะอาจารย์บอกว่านักศึกษาที่เรียนวิชาเอกทางด้าน Strategy ต้องรับภาระหนักกว่านักศึกษาภาคอื่นๆ โชคร้าย (หรือโชคดีก็ไม่ทราบ) ของครูน้อยที่นักศึกษาภาค Strategy มีน้อยกว่าภาคอื่นมากในวิชานี้ ครูน้อยก็เลยรับภาระมากหน่อยค่ะ
ü Introductory Econometrics และวิชานี้ก็เป็นหนึ่งในวิชาเลือกทางด้าน economics ซึ่งทางหลักสูตรบังคับไว้สองวิชาค่ะ เนื้อหาการเรียนก็เกี่ยวกับ research methodology อีกแล้ว ก็เรียกได้ว่าครบถ้วนทุกอย่างล่ะค่ะ เป็นวิชาที่งานหนักมาก อยากจะใช้สำนวนที่เด็กๆ เค้าฮิตกันว่า ‘มากถึงมากที่สุด’ เลยทีเดียว มีทั้งการบ้านปริมาณมหาศาล สอบสองครั้ง แล้วยังมี term paper อีกต่างหาก ซึ่งทำเอาการใช้ชีวิตในเทอมนี้ครูน้อยปั่นป่วนได้อย่างมากทีเดียวค่ะ
ü Dissertation Research ตัวนี้เหมือนเทอมก่อนๆ ค่ะ ครูน้อยเลือกลงวิชานี้เพื่อใช้เวลาในการวิจัยร่วมกับอาจารย์ค่ะ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้จัดสรรเวลาในการทำวิจัยได้มากยิ่งขึ้น
จากที่เล่ามาข้างต้น ก็จะเห็นว่าชีวิตของครูน้อยก็ดูจะไปได้ดีระดับหนึ่งนะคะ แม้ว่างานจะหนัก แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และแล้วปัญหาของครูน้อยก็เข้ามาในชีวิตการเรียนอย่างไม่ทันรู้ตัวเมื่อครูน้อยได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาให้ลงเพิ่มอีกหนึ่งวิชา คือ Independent Study ค่ะ (ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เปิดเทอมไปได้สองสามสัปดาห์แล้ว จำได้ว่าเป็นช่วงที่ครูน้อยน่าจะต้องสรุปเรื่องวิชาที่เรียนในเทอมนี้ลงบล็อก ครูน้อยเลยตัดสินใจยังไม่เขียน เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะจัดตารางเรียนอย่างไรบ้าง ไม่นึกเลยว่า ชีวิตต่อจากนั้นจะอลหม่านเสียจนไม่ได้เขียนบล็อกอีกเลยตลอดเทอม)
ในตอนแรกที่ได้ทราบเรื่องนี้ ครูน้อยก็ต่อรองกับอาจารย์ที่ปรึกษาโดยขอลงในช่วงภาคการศึกษาฤดูร้อนแทน โดยทำเช่นเดียวกันกับ Independent Study ตัวแรกที่ได้ลงไปเป็นวิชา Minor ของภาคการตลาด คือเริ่มพูดคุยและทำสรุปทุกอย่างในเทอมนี้ (Spring Semester) และไปเก็บข้อมูลและเขียน paper ในเทอมหน้า (Summer Semester) แต่อาจารย์ไม่ยอมค่ะ ซึ่งถ้าจะพูดกันตามตรง ครูน้อยก็ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของอาจารย์ที่ให้มาเหมือนกัน ว่าทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ครูน้อยทำเช่นนั้น แต่ก็พยายามที่จะเข้าใจว่าสไตล์การทำงานของอาจารย์แต่ละท่านไม่เหมือนกัน การที่ท่านไม่สะดวกใจให้ทำเช่นนั้น ก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมเช่นกัน ดังนั้น ครูน้อยจึงตกลงทำตามที่ท่านต้องการ โดยที่ได้ต่อรองกับท่านไว้ก่อนว่า เมื่อดูจากจำนวนวิชาที่ครูน้อยต้องลงเรียนและปริมาณ workload แล้ว ครูน้อยอาจจะต้องขอเลื่อนไปส่ง paper ของวิชานี้ในช่วง Summer แทน ซึ่งท่านก็ตกลงด้วยวาจาแต่ขอให้ครูน้อยไม่ต้องระบุลงในเอกสาร (ในการทำ independent study จะต้องมีเอกสารแสดงรายละเอียดของงานและวันเวลาที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ค่ะ)
และนี่แหละค่ะ จุดเริ่มต้นของชีวิตรันทดของครูน้อยในเทอมที่ผ่านมา..
ก่อนจะเล่าถึงชีวิตรันทดของนักศึกษาปริญญาเอกต่อ เรามาพักอารมณ์กันสักเล็กน้อยด้วยการพูดถึงภาพรวมของการศึกษาอีกสองวิชาที่เหลือนะคะ ครูน้อยก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจริงๆ และสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่ามากก็คือ การได้เรียนรู้ว่า หากต้องทำอะไรที่ไม่ถนัด ไม่ใช่เรื่องที่สนใจ แต่ถ้าเราพยายามอย่างหนัก ไม่ว่าจะพยายามด้วยตนเองหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีและคุ้มค่าค่ะ ซึ่งสำหรับอีกสองวิชานั้น ครูน้อยก็ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ผู้สอนทั้งสองท่านเมื่อสิ้นเทอมด้วย ทำให้รู้สึกเป็นกำลังใจให้กับตัวเองเป็นอย่างมาก ซึ่งรายละเอียดต่างๆ นั้น ขอเล่าให้ฟังในบล็อกของเดือนถัดๆ ไปละกันนะคะ (ต้องอุบไว้ก่อน เดี๋ยวช่วงปิดเทอมนี้ไม่มีอะไรมาเล่าค่ะ)
เอาล่ะค่ะ ทีนี้เรามารันทดกันต่อแบบม้วนเดียวจบเลย
ในวิชา independent study นี้ อาจารย์ที่ปรึกษาได้กำหนดให้ครูน้อยทำ thesis proposal เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้ในการนำเสนอได้จริงๆ ตอนสิ้นปีที่สาม เพื่อนำไปสู่การทำ dissertation ในขั้นต่อไป ซึ่งหัวข้อนั้นก็มีการพูดคุยกันคร่าวๆ ก่อน จากนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาก็ให้ครูน้อยทำลิสต์ของ literature review ในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งครูน้อยจะต้องหาบทความที่เกี่ยวเนื่องกับหัวข้อที่อาจารย์สั่ง (ซึ่งอาจารย์ก็มีมอบหมายเพิ่มเติมหัวข้อไปเรื่อยๆ) และอ่านเพื่อนำมาพูดคุยในทุกสัปดาห์ ซึ่งก็เป็น workload ที่หนักเท่าๆ กับการเรียน doctoral seminar อีกหนึ่งตัวนั่นเอง
อาจารย์ได้กำหนดให้ส่งร่างของ paper ในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม โดยที่กำหนดส่ง paper ฉบับเต็มคือต้นเดือนพฤษภาคม แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่ครูน้อยก็ปฏิบัติตาม (เนื่องจากไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้)
และในช่วงก่อนที่จะส่งร่างแรกนั่นเอง ซึ่งเป็นช่วงที่ครูน้อยอ่านเก็บข้อมูลมาได้พอสมควรและกำลังจะขอความเห็นจากอาจารย์เพื่อลงมือเขียนร่าง paper อาจารย์ที่ปรึกษาของครูน้อยก็ไม่สบายค่ะ ซึ่งท่านก็ไม่สามารถให้ความเห็นใดๆ ได้ในช่วงนั้น ครูน้อยจึงเขียนร่างแรกไปตามหัวข้อที่ได้ตกลงกับท่านไว้ตั้งแต่ตอนต้น เนื่องจากไม่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติมนอกจากนั้น (และท่านไม่ได้ตอบอีเมล์ครูน้อยในช่วงนั้น รวมถึงไม่ได้เข้ามาที่โรงเรียนด้วย)
จากนั้นก็ถึงกำหนดส่งร่างแรก ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาท่านก็หายป่วยพอดี หลังจากที่ท่านได้ดูร่างแรก ท่านก็แสดงความเห็นแก้ไขต่างๆ ในรายละเอียด และบอกว่าครูน้อยน่าจะใช้เป็น thesis proposal ได้ และมันไม่น่าจะเสร็จทันเทอมนี้ และ..ครูน้อยน่าจะเปลี่ยนไปเขียน review paper ในหัวข้อที่ใกล้เคียงแทน
ในเวลานั้น ครูน้อยก็มึนตึ้บเลยค่ะ เหลืออีกหนึ่งเดือนกับแปดวันจะถึงกำหนดส่ง paper ฉบับเต็ม แต่อาจารย์ขอแก้ หรือพูดอีกนัยก็คือขอยกเลิกงานที่ครูน้อยทำไปแล้วทั้งหมด และขอให้ทำของใหม่ ซึ่งอาจารย์ก็โน้มน้าวครูน้อยว่า การเขียน review paper ในหัวข้อที่ท่านต้องการนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเขียนมาก่อน และมีโอกาสที่จะได้ตีพิมพ์สูง อีกทั้งเนื่องจากมันเกี่ยวเนื่องกับ thesis ของครูน้อยที่เคยปรึกษากับท่าน เพราะฉะนั้น โอกาสที่ครูน้อยจะได้นำ review paper ไปใช้ฉบับนี้ไปใช้เป็น review chapter ของ thesis หรือ dissertation ของตนเองมีสูงตามไปด้วย
ครูน้อยยอมรับว่าเหตุผลของอาจารย์นั้นฟังขึ้นทุกประการ เพียงแต่ระยะเวลาที่เหลืออีกประมาณสี่ห้าอาทิตย์นี้ ครูน้อยจะทำได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเป็นช่วงเข้าสู่ final exam แล้ว แน่นอนว่าครูน้อยต้องสอบไล่หนึ่งวิชา ต้องส่ง paper อีกสองวิชา และระหว่างนั้นก็มีการบ้านของอีกสองวิชาด้วยเช่นกันในทุกสัปดาห์ ครูน้อยจึงขอต่อรองอีกครั้ง ว่าถ้าหากไม่เสร็จ ขอให้อาจารย์ยืดเวลาออกไปในช่วงซัมเมอร์ให้ครูน้อยมีเวลาในการเขียน paper นี้ให้ดีที่สุด (ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานสำหรับการทำ independent study ที่นี่ ซึ่งครูน้อยได้สอบถามมาก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงได้ทำมาแล้วด้วยครั้งหนึ่ง) ซึ่งอาจารย์ก็บอกว่าขอให้ครูน้อยทำให้ดีที่สุด ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น และอาจารย์จะพิจารณาเอง
จากนั้น ครูน้อยก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไปอย่างที่อาจารย์ต้องการ โดยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ก็พยายามทำอย่างเต็มที่ หลักการของครูน้อยก็คือทำให้ดีที่สุด ไม่ได้ทำครึ่งๆ กลางๆ อย่างที่นักศึกษาคนอื่นๆ มักจะเลือกทำ (ตามที่ได้เคยถามเพื่อนๆ มา หลายคนมักจะเลือกส่งแบบบางส่วน มากกว่าจะส่งครบ เพื่อให้สามารถเลื่อนไปอีกภาคการศึกษาได้) แต่ก็ตั้งใจว่าจะขออาจารย์ให้โอกาสในการ revise อีกสักรอบเพื่อความสมบูรณ์
และก็ถึงวันส่งงาน ครูน้อยก็สามารถทำส่งแบบ paper เต็มฉบับได้ตามที่ตกลงกับอาจารย์ไว้ ซึ่งอาจารย์เองก็ออกปากหลังจากได้อ่านว่า ไม่อยากเชื่อว่าครูน้อยจะทำได้จนสำเร็จ เพราะปริมาณบทความวิจัยที่ครูน้อยต้องอ่านในช่วงเวลาอันน้อยนิดก่อนที่จะเขียน review paper ได้นั้น มีหลายร้อยบทความเลยทีเดียว
ทุกอย่างฟังดูเรียบร้อยดีใช่ไหมคะ เพียงแต่..อาจารย์ท่านไม่ให้โอกาสครูน้อยในการแก้ไขงานอย่างที่ตั้งใจตามที่เคยตกลงกันไว้ ตรงนี้ครูน้อยยอมรับว่าผิดหวังมาก ผู้อ่านท่านอื่นๆ อาจจะคิดว่า ทำไมจะต้องผิดหวัง ทุกอย่างก็ดูโอเค ครูน้อยก็ได้เกรดค่อนข้างดี แม้ว่าจะไม่ได้โอกาสในการแก้ไขงานเพื่อทำเกรดให้ดีขึ้นไปอีกตามที่ได้ตกลงกันไว้เดิม แต่ความรู้สึกครูน้อยไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ
อาจารย์อาจจะมีมาตรฐานของท่าน แต่ครูน้อยก็มีมาตรฐานในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์เช่นกันค่ะ ครูน้อยยึดถือในเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจและการให้โอกาสเป็นอย่างมาก และความรู้สึกของครูน้อยที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ก็คือความเสียใจที่อาจารย์ไม่ทำตามที่ท่านได้ตกลงไว้ แม้ว่าครูน้อยจะทั้งขอร้องและต่อรองกับท่านอย่างเต็มความสามารถแล้ว
เรื่องราวปั่นป่วนก็มีเท่านี้ล่ะค่ะ ทุกคนที่ครูน้อยรู้จักจะบอกเสมอว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของเรามีความสำคัญที่สุดในการที่เราจะเรียนเอกจบหรือไม่จบ และครูน้อยก็ตระหนักดีในเรื่องนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครูน้อยขาดความมั่นใจในอนาคตตัวเองในการเรียนและทำงานวิจัยต่อที่นี่อยู่พอสมควร
ฟังดูเหมือนครูน้อยคิดมากไปหรือเปล่าคะ จริงๆ ในรายละเอียดมันก็มีเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ขาดความมั่นใจน่ะค่ะ แต่ครูน้อยก็ยังมีกำลังใจในการเรียนต่อที่นี่นะคะ เพียงแต่ยอมรับตัวเองคงต้องหากลยุทธ์ในการรับมือกับชีวิตให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาเท่านั้นเองค่ะ
ผ่านมาถึงตอนนี้ ใช้ทางธรรมะและทางโลกเข้าข่ม (ด้วยการท่องเที่ยวและไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เคยเรียนและทำงานกับท่านตอนสมัยปริญญาโทค่ะ ได้กำลังใจมาเพียบ) ก็รู้สึกดีขึ้นมาก พยายามทำความเข้าใจว่าทัศนคติของแต่ละคนย่อมจะไม่เหมือนกัน ครูน้อยได้เจอกับอาจารย์ที่น่ารักและให้โอกาสกับตัวเองมามากมายหลายท่าน ตั้งแต่เรียนตรีจนถึงเอก ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ พอมาเจอเรื่องแบบนี้เข้าเป็นครั้งแรก ก็เลยเกิดอาการสติแตก จริงๆ น้องที่เรียนเอกเหมือนกัน แต่อยู่อีกคณะเล่าให้ฟังว่า เขาเจอหนักกว่านี้อีก คือเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษามาสามคนแล้ว โดยเจอเหตุการณ์ทอดทิ้งกลางคันอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องที่ครูน้อยเจอถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ มากทีเดียว
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ บ่นยาวเลย ท่านผู้อ่านเบื่อกันบ้างหรือเปล่า คราวต่อไปครูน้อยจะเล่าเรื่องสนุกๆ มากกว่านี้นะคะ และคิดว่าคงไม่ต้องรอกันอีกเทอมแน่ๆ (หรือไม่แน่.. พูดเล่นค่า..)
แล้วเจอกันเดือนหน้าค่ะ..
อ่านแล้วยังเข้าใจไม่ชัดครับ เอาไว้คุยกันวันจันทร์หน้านะครับ
ประสบการณ์เผชิญมรสุม เป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ เอาไว้ใช้ในการทำหน้าที่อาจารย์ และในการดำรงชีวิต ในภายหน้าได้เป็นอย่างดี คนที่ไม่เคยเจอมรสุม ถือว่าขาดทุน หรือชีวิตไม่เต็มเปี่ยม
วิจารณ์
ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสกว่าฟ้าไดๆค่ะ เอาใจช่วยนะคะ