ขอถนนนำพา ท้องฟ้านำทาง


ตอนนี้แกเริ่มบ่นถึงบ้านบ่อยๆบ้านที่เราพยายามสืบหาแล้วแต่ไม่มีสักที่...ยิ่งอาการป่วยดีขึ้นเท่าไหร่แกก็ซึมลงเท่านั้น

ขอถนนนำพา ท้องฟ้านำทาง

 

สุวรรณา  แก้วศรี             พยาบาลวิชาชีพ

 

              เคยได้ยินหรือได้อ่านข่าวว่ามีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเอาคนไข้ไปทิ้งไหมคะ อาจเคยได้ยินเพราะเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งอยู่หลายวันทีเดียว แต่ตอนจบไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วเคยได้ยินเรื่องเอาคนมาทิ้งที่โรงพยาบาลบ้างไหมคะ........ก็คงเคยได้ยินเหมือนกัน แต่ก็อาจแค่แว่วๆเพราะไม่ได้ขึ้นหน้าหนึ่ง หรือว่าอาจเป็นแค่เรื่องเล่าต่อๆกันมา......แต่เป็นเรื่องจริงและมีอยู่เยอะในสังคมปัจจุบัน แทบทุกโรงพยาบาลในประเทศไทยเคยเจอมาแล้วทั้งนั้นตั้งแต่คลอดลูกแล้วหนี ทอดทิ้งผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยจิตเวช หรือแม้แต่คนชราที่หลงๆลืมๆแทบไม่น่าเชื่อว่าเราอยู่ใต้ร่มกาสาวภัตร

                แอดมิดคนไข้คนนึงค่ะ เสียงลอดสายโทรศัพท์มายังตึกผู้ป่วยอย่างเคยเช่นทุกวัน

                ค่ะ คนรับสายตอบรับเช่นกัน

              คนไข้ชาย อายุประมาณเจ็ดสิบ  เออแน่ะทำไมต้องประมาณด้วยล่ะ

              มาด้วยอาการไม่ทราบแน่ชัด  ไม่ทราบชัดแล้วจะรักษาอะไรกันล่ะ พยาบาลตึกผู้ป่วยในอย่างเราอดแอบค่อนไม่ได้

              พบนั่งหายใจเหนื่อยอยู่หน้าอีอาร์ ฟังปอดมีเสียงวี้ด ซักประวัติไม่รู้เรื่อง คนไข้ดูเบลอ

ให้ตายเหอะ นี่พยาบาลอีอาร์เขาส่งเคสอะไรกัน แล้วญาติเค้าว่าไงคะ อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก

              ไม่มีญาติค่ะ ไม่ทราบว่ามายังไงเพราะไม่เห็นคนมาส่งเห็นแต่คนไข้คนเดียว

เอาล่ะสิ งานเข้าแล้วไหมล่ะ ไม่มีญาติ ไม่รู้ประวัติ แถมคนไข้เบลออีกต่างหาก แล้วจะพยาบาลรักษากันอย่างไรไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง

              เรื่องมันนานมาสักเท่าไหร่พวกเราก็จำไม่ได้ เดือน สองเดือน หรือสามเดือนก็ไม่แน่ใจหลังจากที่ตาทองได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของเราชาวตึกสามัญชายหลังจากที่แกถูกเอามาวางทิ้งไว้หน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินในคืนนั้น ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าร่างผอมโกรก น้ำหนักไม่น่าจะเกินสามสิบห้า ในตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าตาทองแกเป็นอะไรซักประวัติอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่พวกเราก็ช่วยกันให้การพยาบาลดูแลรักษาตามอาการของแกมาจนอาการแกดีขึ้นตามลำดับ ในตอนแรกแกทั้งหายใจเหนื่อย ไข้สูงและอ่อนเพลียจนเบลอพูดจาไม่รู้เรื่อง หมอเจ้าของไข้ให้การรักษาแบบผู้ป่วยติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคถุงลมโป่งพองและเมื่อเจาะเกลือแร่ก็พบโปแตสเซียมมีค่าต่ำ การให้ยาพ่นเพื่อขยายหลอดลมในช่วงแรกนั้นพวกเราต้องลำบากมากทีเดียวเพราะต้องยืนถือหน้ากากครอบพ่นยาไว้ให้แกไม่เช่นนั้นแกก็จะดึงทิ้งตลอด อาจเพราะไม่เคยชินกับการมีเครื่องไม้เครื่องมือแบบนี้มาขัดขวางการหายใจ ไหนจะสายน้ำเกลือที่แกขยันดึงทิ้งจนเลือดออกเปื้อนผ้าปูที่นอนสีขาวเป็นดอกดวงสีแดงน่ากลัวช่างหากิจกรรมให้พวกเราทำทั้งวันจนบางครั้งแกก็ถูกบ่นไปบ้างตามลำดับดีกรีความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่ เรียกว่าทุลักทุเลกันน่าดูทั้งเรื่องความสะอาดทั่วไปที่เราต้อง เอาใจใส่ช่วยเหลือแกทั้งหมดเพราะคนไข้ไม่สามารถทำเองได้ แกจะเหนื่อยมากถ้าออกแรงแม้เพียงเล็กน้อย แล้วไหนจะเรื่องการให้การพยาบาลรักษาแม้แต่การกินยา สำหรับตาทองเราไม่รู้ว่าทำไมแกต้องบ้วนทิ้งทุกครั้งที่ยาเข้าปากกว่าแกจะเคยชินเราก็ต้องเก็บกวาดคราบเปื้อนและเบิกยาใหม่ซ้ำๆอยู่นั่นแล้ว จนแล้วจนรอดตาทองก็ยังพูดจาไม่รู้เรื่อง ซักประวัติไม่ได้ แม้กระทั่งตอนที่แกไม่มีอาการเหนื่อยหอบไม่มีไข้ ความจำแกก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่ บางเรื่องเราลงความเห็นว่าแกพร่ำเพ้อพรรณนาไปตามประสาคนแก่ที่มีอาการหลงๆลืมๆ แต่ถึงจะลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วก็ตามแต่เราก็ยังเชื่อเรื่องที่แกพูดออกมาจนกว่าจะพิสูจน์ได้บ้างนั่นแหล่ะ เริ่มจากชื่อเสียงเรียงนามอันมีชื่อว่า ทอง ไม่ว่าเราคนไหนในตึกสามัญชายจะถามแกว่าแกชื่ออะไรก็จะได้คำตอบตรงกันว่าชื่อทอง ส่วนนามสกุลขอสงวนไว้ เป็นอันว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความจำที่ฝังลึกของแกและแกชื่อทองแน่ๆ ต่อมาเราก็ต้องค้นหาสถานที่อยู่เพราะหลังจากที่อาการเหนื่อยหอบ อาการไข้ดีขึ้น คนไข้ก็ต้องถึงเวลากลับบ้านเสียทีและนั่นคือความลำบากอย่างยิ่งยวดเพราะตาทองแกให้ข้อมูลหลายเรื่องและแต่ละเรื่องสถานที่ไม่ตรงกันเลย พวกเราติดต่อไปที่โรงพยาบาลประจำอำเภอที่ตาทองอ้างว่าเป็นที่อยู่และให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนั้นช่วยกันสืบหา แต่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นอันผิดหวังเพราะไม่มีใครที่รู้จักตาทอง ไม่มีทะเบียนบ้านหลังไหนที่มีชื่อตาทองแอบซ่อนอยู่ พอไปถามแกอีกครั้งก็บอกว่าทำงานดูแลสวนให้คนนั้นคนนี้ สำหรับคำกล่าวอ้างข้อนี้เราอาศัยตำรวจ เราไม่ได้แจ้งความหรอกค่ะแต่ก็อาศัยเหล่าภรรยาตำรวจให้รบกวนสามีช่วยสืบหา แต่ก็นั่นแหล่ะไม่ว่าสวนของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคนไหนก็ไม่มีตาทองอยู่ในรายชื่อคนงานเลย พอซักประวัติใหม่อีกครั้งตาทองก็กลับคำให้การว่าอยู่กับลูกที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เราก็สืบเสาะหาไปแต่ก็ไม่มี และเราก็ต้องยอมรับว่าตาทองถูกเอามาทิ้งจริงๆเพราะตั้งแต่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ไม่มีใครมาตามหาแกเลยแถมเราก็สืบหาที่อยู่แกไม่ได้ด้วยทั้งๆที่ทำทุกทาง สุดท้ายพอเราใช้เวลาเป็นเดือนๆเพื่อหาที่อยู่แกแต่ไม่มีสักที่เราก็ต้องหาทางอย่างอื่นต่อไปเพื่อให้แกได้มีที่อยู่ พวกเราไม่ได้ใจร้ายคิดให้แกไปให้พ้นๆหรอกนะคะ แต่การที่มานอนโรงพยาบาลเป็นเดือนๆไม่มีผลดีต่อผู้สูงอายุเลยเพราะในชั้นบรรยากาศที่ลอยตัวอยู่ทั่วไปเราต่างไม่รู้ว่าจะมีเชื้อโรคแอบแฝงอยู่ตรงไหนและเราไม่รู้ว่าเชื้อนั้นจะรุนแรงทำร้ายคนที่รับเชื้อเข้าไปหรือไม่และยิ่งกับตาทองผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในเรือกสวนไร่นาอากาศโปร่งๆมาทั้งชีวิตแกน่าจะรับเชื้อง่าย พวกเราปรึกษากันในตึกและตกลงว่าเราต้องพึ่งประชาสงเคราะห์เสียแล้ว ตอนนี้อาการตาทองดีขึ้นเรียกว่าแทบจะหายเป็นปกติแกจะไม่เป็นภาระให้ประชาสงเคราะห์มากนัก เราก็ติดต่อไปที่ประชาสงเคราะห์จังหวัดซึ่งที่จังหวัดเองก็ผ่านขั้นตอนหลายอย่างทั้งการตรวจสอบชื่อ สกุล สถานที่อยู่ ว่าเป็นคนไทย ไม่มีบ้านไม่มีญาติพี่น้องจริงๆหรือไม่ และขั้นตอนต่อไปของเราก็คือการรอ.........

               หลังจากที่อาการเหนื่อยของตาทองดีขึ้นพวกเราก็เริ่มพาแกออกเดิน ครั้งแรกก็เดินรอบเตียง เดินไปห้องน้ำ น่าแปลกก็คือแกใช้ห้องน้ำห้องส้วมไม่เป็น เราต้องสอนแกทั้งหมดเหมือนการสอนเด็กเล็กๆแต่ผิดกันที่แกน้ำหนักมากกว่าสามสิบกิโลกรัม ทุลักทุเลเกือบอาทิตย์ตอนนี้ตาทองก็ใช้ห้องน้ำห้องส้วมเป็น รวมทั้งแบบชักโครกด้วย แค่นี้เราก็ดีใจแล้วที่แกไม่ต้องขับถ่ายบนเตียงเพียงแค่เราต้องคอยดูแลพาแกเดินไปห้องน้ำเพื่อกันล้มเท่านั้น ตอนนี้แกเริ่มบ่นถึงบ้านบ่อยๆบ้านที่เราพยายามสืบหาแล้วแต่ไม่มีสักที่ ยิ่งอาการป่วยดีขึ้นเท่าไหร่แกก็ซึมลงเท่านั้น ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่ปลอบใจและให้ข้อมูลถึงสถานที่ที่เราไปสืบหามา ตาทองเริ่มกินข้าวน้อยลงทั้งๆที่ช่วงก่อนแกเจริญอาหารน่าดู ที่ประชาสงเคราะห์เราติดต่อไปว่าพบที่อยู่แกหรือยังผลก็ออกมาคล้ายๆเราคือหาไม่เจอ และที่สถานสงเคราะห์ที่จะรับแกไปก็ยังไม่มี แกดูซึมลงแม้จะยังพูดคุยบ้างแต่ก็แปลกไป พวกเราตกลงกันว่าจะพาแกออกไปเดินนอกตึกผู้ป่วยบ้างเพราะตั้งแต่ตาทองมาอยู่แกไม่เคยออกไปไหนเลย ตอนเย็นวันนั้นเราพาแกออกไปนั่งหน้าโรงพยาบาลเพื่อดูวิวทิวทัศน์และรับลมบ้าง

              บ้านฉันอยู่ที่นั่น ตาทองชี้ไปไกล

              ที่ไหนล่ะตา พวกเรามองตามไปยังหมู่บ้านใกล้ๆโรงพยาบาลที่ไม่น่าจะมีสักที่ที่เป็นบ้านแก

              เลยต้นมะพร้าวไปนั่นก็เป็นบ้านฉัน เอารถไปส่งฉันหน่อยได้ไหม เอาไปปล่อยตรงต้นมะพร้าวเดี๋ยวฉันเดินต่อไปเอง ดวงตาของตาทองมีหยาดน้ำตาคลอแบบที่เราไม่เคยเห็นจากแกมาก่อนตอนแรกเราจะบอกแกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแกหรอกเพราะในหมู่บ้านนั้นก็มีคนที่ทำงานโรงพยาบาลและไม่รู้จักแก แต่พอเห็นแววตาแบบนั้นเราก็กลืนคำพูดพวกนั้นลงคอได้แต่นั่งมองตามมือแกไปเงียบๆ

              หลังจากที่เราพาแกออกไปนั่งดูวิววันนั้นแกก็ไม่เคยออกจากตึกผู้ป่วยไปข้างนอกอีกเลยทั้งๆที่เราพยายามชวนแกออกไป แกก็ได้แต่นั่งซึม ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่ค่อยกินข้าว และอาการไข้ เหนื่อยก็กลับมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้อาการแย่ลงแกเพ้อไม่รู้สติอีกหน ไม่ว่าจะได้ยาปฏิชีวนะตัวไหนแกก็ไม่ดีขึ้น

              ตาทองคงไม่ไหวแล้วล่ะ ความดันก็วัดไม่ได้ พยาบาลเวรส่งเวรต่อกันมาสองวันเรื่องที่ความดันแกวัดไม่ค่อยได้

              แกคงมีห่วงอะไรอยู่เนาะ แกเลยไม่ยอมไป โดยปกติเราจะชินกับการที่ผู้ป่วยที่วัดความดันโลหิตไม่ได้และจะเสียชีวิตไปในเวลาอันไม่นาน แต่ตาทองอยู่เหนือความเคยชินนั้น

              สงสารแกนะ ทรมานอยู่นั่นแล้ว การดูแลตาทองในระยะสุดท้ายของชีวิตเราก็ช่วยให้แกสุขสบายเท่าที่จะทำได้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอนให้แกเวลาเปื้อน คุยกับแกเท่าที่เวลาจะอำนวยแม้ไม่รู้ว่าแกจะรับรู้ไหม พลิกตะแคงตัวให้กันแผลกดทับ

               ตอนบ่ายของวันที่สามหลังจากความดันโลหิตของแกต่ำเตี้ยวัดไม่ได้ป้าคนทำความสะอาดเตรียมกรวยดอกไม้ธูปเทียนมาขออโหสิกรรมกับแก พวกเราขอร่วมด้วยเพราะเราต่างให้การพยาบาลดูแลแก บางครั้งก็ทำให้แกเจ็บตัวจากการทำหัตถการต่างๆ บางครั้งก็เผลอหงุดหงิดใส่ เราขออโหสิกรรม.......และในเย็นวันนั้นแกก็จากไปอย่างสงบ ไม่มีใครมาขอรับศพแก ศพตาทองถูกเก็บไว้ที่โรงเก็บศพของโรงพยาบาลเพื่อรอประกาศให้ญาติมารับ และเมื่อถึงที่สุดไม่มีใครมารับทางโรงพยาบาลก็จัดพิธีศพให้แกตามประเพณีอย่างเงียบๆ

              การเกิดและการอยู่ของคนๆหนึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก บางคนก็มีญาติพี่น้องรายล้อม บางคนก็สิ้นใจอย่างเงียบเหงา พวกเราที่ทำงานที่โรงพยาบาลต่างไม่ใช่ญาติพี่น้องของตาทองแต่เราก็ถือว่าเราเป็นญาติมิตรทางจิตใจ ไม่มีใครบอกว่าแต่ละคนได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับตาทองแต่ในวันหลังเมื่อมีโอกาสได้คุยกัน เราทุกคนในตึกต่างแยกย้ายไปทำบุญให้แกโดยไม่ได้นัดหมาย เรารู้สึกถึงการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยที่ไม่ต้องมีคำพูดสวยหรูอะไรมากล่าวอ้าง และตาทองเองก็คงรับรู้ด้วยเช่นกัน ขอให้ถนนนำพา ขอบฟ้านำทางให้ตาทองได้กลับบ้าน บ้านที่แกอยากจะกลับไปเหลือเกินทั้งๆที่ไม่มีใครรออยู่ที่นั่น บ้านที่อาจไม่ใช่ที่เกิดหรือที่ตาย แต่ทั้งหัวใจก็ผูกพันอยู่ที่นั่นจนวาระสุดท้ายของลมหายใจ เรื่องของตาทองอาจไม่เป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งหรือข่าวเล็กๆแค่มุมใดของหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครจดจำแก แต่แกก็จะยังอยู่ในความทรงจำของพวกเราชาวตึกสามัญชาย ครั้งต่อไปที่เราไปทำบุญเราจะไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้แก...........

หมายเลขบันทึก: 267489เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2009 20:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มาแล้วก็ไปครับ

ตาทองแสดงธรรมะให้เราดู

ขอบคุณครับ

ในความโชคร้าย แต่ตาทองแกก็ยังมีความโชคดีอยู่นะครับ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท