1.สถาบันใดมีความสำคัญที่สุดในการหล่อหลอมจริยธรรม
ก. ครอบครัว
ข. การศึกษา
ค. สื่อมวลชน
ตอบ สถาบันครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุด คนในครอบครบสามารอบรมสั่งสอนจริยธรรม ให้ความรักและความรู้สึกอบอุ่นได้ มีความผูกพัน สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจน พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย สามารถปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับลูกหลานได้ ถ้าคนในครอบครัวมีจริยธรรมแล้วลูกหลานลูกหลานก็จะมีจริยธรรมด้วยเพราะเขาได้เห็นแบบอย่างที่ดีจากผู้ใหญ่ เมื่อสถาบันครอบครัวมีจริยธรรมแล้ว ก็จะทำให้สถาบันอื่นๆให้มีจริยธรรมตามไปด้วย
2.ถ้าท่านเป็นหัวหน้างานแล้วพบว่ามีผู้ปฏิบัติงานมาสายเป็นประจำท่านจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอบ ในฐานะที่เราเป็นหัวหน้างานเราต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างให้กับผู้ปฏิบัติงาน เราก็ต้องมาที่ทำงานก่อนลูกน้องเพื่อสร้างความกดดันให้ลูกน้อง (เป็นหลักจิตวิทยาบางทีอาจใช้ไม่ได้ผล) ถ้ายังมาสายเป็นประจำอีกเราก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือนให้เขาได้ยั้งคิด เรียกมาอบรมเพื่อปลูกจิตสำนึก ถ้ายังมาสายอีกก็ให้เขาไปบำเพ็ญประโยชน์โดยให้เขาไปสอนเรื่องจิตอาสา (จิตสำนึกสาธารณ) เพื่อที่จะให้เขารู้ว่าก่อนที่จะสอนคนอื่นเขาจ้องทำได้ก่อนถึงจะมีคนปฏิบัติตามที่เขาสอน ตอนนี้ถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผมในฐานะหัวหน้างานคงต้องสั่งย้ายให้ไปทำงานที่อื่น หรื่อไล่ออกแล้วแต่สถานการณ์
ปล.ถ้าให้ผมเลือกลูกน้องผมจะไม่เลือกคนเก่ง ผมจะเอาคนที่มีความสามารถมากกว่ามีหัวใจเป็นนักพัฒนาไม่ใช่ทำงานตามหน้าที่เพียงอย่างเดียวแล้วจะดูเรื่องจิตอาสา
3.ถ้าท่านประกอบวิชาชีพสาธารณสุขท่านจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีจรรยาบรรณ
ตอบ ก่อนอื่นจะทำงานเราจะต้องมีความรู้ ความสามารถและสิ่งที่สำคัญคือการสร้างภาคีเครือข่าย (ใบประกอบวิชาชีพสาธารณสุขตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าบอกว่าจรรยาบรรณน่าจะใช้ได้ เพราะตอนนี้เพิ่งร่างใบประกอบวิชาชีพ พรบ.ยังไม่ผ่าน งานของเราคือ ส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค) โดยจะมีการปฏิบัติตัวดังนี้
1.การทำงานไม่ให้มองประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง แต่ให้มองประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
2.สร้างหรือผลักดันให้เกิดมิตรภาพในการทำงาน ให้ความสำคัญกับทุกฝ่าย จะทำให้องค์กรของเราขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
3.การกำหนดนโยบายเราต้องค้นหาปัญหาที่ชุมชนหรือหน่วยงานนั้นต้องการที่จะพัฒนาจะได้แก้ไขปัญหาสุขภาพได้ถูกจุดและตรงกับปัญหา (ไม่ใช่นั่งเทียนในการกำหนดนโยบาย)
4.ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เอารดเอาเปรียบผู้อื่น
5.ปลูกฝักให้ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานมีจิตอาสาหรือจิสำนึกสาธารณะเพื่อที่ทำตัวให้เป็นแบบอย่างในการทำงาน (สังคมเปลี่ยนไปมีแต่การแก่งแย่งชิงดีทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร)
6.สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ การให้ผู้มารับบริการในสถานบริการสาธารณสุขจะต้องเกิดความพึงพอใจ ทุกคนได้รับบริการที่เท่าเทียมกัน
7.นักวิชาการสาธารณสุขไม่แสวงผลประโยชน์จากงานในหน้าที่ สร้างความน่าเชื่อถือ
ปล.ถ้าให้ผมเลือกลูกน้องผมจะไม่เลือกคนเก่ง ผมจะเอาคนที่มีความสามารถมากกว่ามีหัวใจเป็นนักพัฒนาไม่ใช่ทำงานตามหน้าที่เพียงอย่างเดียวแล้วจะดูเรื่องจิตอาสา
ปัจจัยมีหลายด้าน ในแต่ละปัจจัยจะมีค่าในปริบทที่ต่างกัน คือ ปัจจัยด้านความรู้จะไม่มีความสำคัญเท่าประสบการณ์ในการทำการเกษตร(ไปดำนา) แต่ถ้าหากทำวิจัยคงปฏิเสธความรู้ไม่ได้และไม่สามารถใช้ปัจจัยประสบการณ์อย่างเดียวจะเพียงพอต่อการวิจัย
การเลือกใช้จึงให้ดูที่ปริบทเป็นหลักว่าปัจจัยใดมีความจำเป็นที่เราจะต้องใช้ เราต้องเลือกเอาทุกอย่างที่มันดีให้ได้มากที่สุด หากเป็นไปไม่ได้เลือกให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราจะทำให้ได้มากที่สุด
สู้ๆๆๆ