วัตถุประสงค์การทำงานของสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
1. เพื่อส่งเสริมอุดมคติคนหนุ่มสาว ให้เป็นคนมีจิตใจอาสาสมัครในการรับใช้สังคม
2. เพื่อทำการศึกษาวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมทางสังคม
3. เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่น มีการรวมกลุ่มในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชนได้อย่างเข็มแข็งด้วยตนเอง
4. เพื่อส่งเสริมสังคม ชุมชน มีสุขภาวะที่ดี
5. เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาสังคม
6. เพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน และ ชุมชน
7. เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
8. เพื่อสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9. เพื่อส่งเสริมการดำรงอยู่ของความหลากหลายทางวัฒนธรรม
10. เพื่อส่งเสริมและสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนให้เข็มแข็ง
11. เพื่อประสานงานร่วมมือกับองค์กรสาธารณประโยชน์อื่นในการส่งเสริมและ พัฒนาสังคม
12. เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม
13. ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
วิธีการในการจัดการเรียนรู้
ใช้กิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียนแล้วตามด้วยวิชาการ ใช้วิธีการเล่น และบทบาทสมมติ แสดง เล่าประสบการณ์ชีวิตจริง วิเคราะห์จากสถานการณ์จริง สื่อ วีดีโอ และเหตุการณ์จากหนังสือพิมพ์ หรือการเข้าไปหาข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาในพื้นที่จริง แล้วค่อยสรุปบทเรียนอีกที
รูปแบบในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบการหิ้วกระเป๋าเข้าไปในชุมชน แนะนำตนเอง แนะนำโครงการให้กับผู้นำชุมชน แล้วก็คุยกับเด็กเยาวชน โดยเริ่มจากกระเป๋าใบเดียว ตุ๊ก ๆ แท็กซี่ แล้วเริ่มมีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นตามที่ได้เรียนรู้จากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปคุยด้วย แล้วนำมาจัดกิจกรรมตามที่กลุ่มเป้าหมายต้องการหรืออยากจะมี การเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายได้แสดงออก เริ่มจากอุปกรณ์ที่มีแผ่นพลิก เข้าไปคุยกลุ่มย่อยธรรมดาด้วยแผ่นพลิก และพัฒนามาเป็นแผ่นใส ใช้สไลด์ การให้ความรู้ผ่านเกมส์ จนกระทั้งมาถึงการใช้ละครหุ่น ฉายหนังเร่
ซึ่งเริ่มมาจากโครงการ “สโมสรข้างถนน” ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก World bank นำสรุปหลักสูตร ครั้งแรกมาทดลองใช้ในพื้นที่
“สื่อสร้างสานเสริมสุข” ที่มีตัวละคร จุก แกละ โก๊ะ เปีย ลงไปเล่นละครหุ่นให้กับเด็ก ๆ เริ่มติดต่อโครงการครูข้างถนน กทม. ในปี 2546 ที่ไทยพาณิชย์ปาร์ค ซึ่งตอนหลังก็พัฒนามาสู่
“ห้องสมุดสุขภาพสัญจร” โดยมีการฉายแผ่นใส ฉายหนัง ผ่านโทรทัศน์ 14 นิ้ว และหลังจบการฉายหนังก็มีการจับกลุ่มสนทนาเพื่อให้เด็ก ๆ ได้คิด และมีกิจกรรมที่เสริมสร่างกระบวนการเรียนรู้ที่ผ่านการเล่น ซึ่งในภายหลังได้พัฒนามาเป็น
“โรงหนังเร่สัญจร” ที่ขยายการฉายหนังจากจอโทรทัศน์มาเป็นการฉายผ่าน LCD กับโรงหนังที่มีขยายใหญ่ โดยการเย็บจอหนัง เพื่อเป็นการขายการทำงานที่มีกลุ่มเป้าหมายที่มีการขยายการเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น
จนล่าสุดในปี 2551 สมาคมฯได้รับบริจาค รถโมบาย จากองค์การ แอดชั่นเอดส์แห่งประเทศไทย และได้พัฒนาโครงการมาเป็น โครงการ อาสาพาน้องผู้ด้อยโอกาสไปสู่คุณภาพชีวิตที่เปี่ยมสุข ที่ทำรถโมบายเป็นห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้เคลื่อนที่ ที่นำสื่อการเรียนรู้ต่างรวบรวมอยู่ในรถโมบาย เมื่อไปจอดในพื้นที่สาธารณะก็จะกางรถโมบายออกทั้งสองข้างเพื่อเปิดให้เด็กเข้ามาเรียนรู้ มาเล่น ทำกิจกรรมต่าง บนรถ หรือรอบ ๆ เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเอง และสุดท้ายก็จะปิดท้ายด้วยการฉายหนัง ซึ่งทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น กลุ่มเป้าหมายได้พัฒนาตนเองมากขึ้น
กิจกรรมเป็นตัวสร้างกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กและผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้นำไปคิดและไปค้นหาคำตอบด้วยตนเอง และอีกส่วนการเรียนรู้หนึ่งที่เปิดโอกาสให้อาสาสมัครเข้ามาเรียนรู้ ในการร่วมกิจกรรม หรือที่เรียกว่า “โรงเรียนข้างถนน” เพราะคำว่าโรงเรียนข้างถนนของทางสมาคมไม่ใช่การที่อาสาสมัครเข้าไปสอน แต่เป็นการที่อาสาสมัครเข้าไปเรียนรู้ร่วมกันกับกลุ่มเป้าหมาย โดยถือกลุ่มเป้าหมายเป็นครู ไปเรียนรู้ว่าเขาอยู่อย่างไร กินอย่างไร ประสบอะไรมาถึงมาอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งในอีกมุมที่เราได้คือ เขาไดพัฒนาร่วมกันทั้งอาสาสมัครและตัวกลุ่มเป้าหมายเราเอง เพราะกลุ่มเป้าหมายก็จะสนใจที่จะเรียนรู้อาสาสมัคร และเกิดการพัฒนาตนเอง เช่น กรณี ที่มีนักศึกษาแพทย์ลงไปเรียนรู้ร่วมกันทำให้เห็นพัฒนาการที่ว่าเมื่อนักศึกษาแพทย์เหล่านี้มาเป็นหมอเขาจะได้รักษาคนอย่างไม่รังเกียจหรือเลือกปฏิบัติ ในการรักษา และตัวกลุ่มเป้าหมายเองก็จะรู้จักพัฒนาตนเอง มีกระบวนการคิด เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มเด็กดังกล่าวที่สนใจหรือมีความฝัน ให้เป็นความหวังและทำฝันให้เป็นจริง
ย้อนแนวคิดหรือพัฒนาการในการจัดการศึกษา ทำไมถึงเลือก ?
มีส่วนที่อิสรชนค้นพบ เมื่อไปทำกิจกรรม ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเดีวแล้วจบ กลุ่มเป้าหมายเคลื่อนที่ตลอด กลุ่มเป้าหมายอยากเรียนรู้มากขึ้น อยากจะมีกิจกรรมเป็นของตนเอง อยากมีพื้นที่แสดงออก พัฒนาการเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ค้นพบ ร่วมถึง ผลกระทบจากภายนอก เช่น สถานการณ์ทางการเมือง ค่านิยมแฟชั่นที่เปลี่ยนไป วัฒนธรรมอื่น ๆ ค่านิยมใหม่ ๆ สถานการณ์ทางการเมือง ปี 2548 – 2549 งบประมาณถูกตัด
Good practice ของกิจกรรมโมบายทักษะชีวิต
สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ตามกลุ่มเป้าหมาย ปรับได้ตลอดเวลา ทำได้ตั้งแต่ 1 วัน ถึง 3 คืน 2 วัน หรือ 4 คืน3 วัน ถ้าในลักษณะการเป็นฐาน สามารถทำได้ตั้งแต่ 4 ฐาน ถึง 16 ฐาน แล้วแต่ความจำเป็นและความเร่งด่วนของกลุ่มเป้าหมาย ความวิกฤตของกลุ่มเป้าหมาย ความจำเป็นในเรื่องของสถานที่ ระยะเวลา งบประมาณ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายอาจจะเป็นกลุ่มที่อยู่ในขั้นวิกฤต กลุ่มที่เสี่ยง กลุ่มที่เป็นแค่เติมความรู้ ที่สมบูรณ์คือ 4 คืน 3 วัน เด็กสามารถที่จะคิดวิเคราะห์ทั้งตนเองและเป็นกลุ่มได้ สามารถตั้งทีมทำงาน สร้างแกนนำให้เพื่อน ๆ ได้
Best practice ของกิจกรรมโมบายทักษะชีวิต
1. การเข้าถึงและดึงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายออกมาเพื่อแก้ปัญหาของตัวกลุ่มเป้าหมายเอง การสร้างแกนนำผ่านกระบวนการแล้วเข้าไปทำกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีการเข้าถึงและดึงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายออกมา การปรับและพัฒนาหลักสูตรภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายตลอดเวลาสม่ำเสมอ
2. ไม่ทำงานคนเดียวแต่จะประสานงานร่วมกับองค์กรในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ องค์กรชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ ชาวบ้าน คนในชุมชน ครอบครัวในชุมชน
ปัญหา /อุปสรรค
1. การสื่อสารระหว่างบุคลากร กลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ภาครัฐ ปัญหาเรื่องของบุคลากรที่ไม่เข้าใจการทำงานกับกลุ่มเป้าหมาย ทัศนคติในการทำงาน
2. ความร่วมมือขององค์กรและผู้นำชุมชน ซึ่งแต่ละชุมชนจะมีไม่เหมือนกันต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ
3. การย้ายถิ่น เคลื่อนย้ายไปตามครอบครัว แล้วก็กลับสู่ที่เดิม
4.การบริการของรัฐที่ไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การประกาศของรัฐให้ทำจริงแต่เข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย
5.ผู้รับบริการไม่มีข้อมูลที่แท้จริง ไม่สามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลได้อย่างแท้จริง
6.เด็กออกมาเร่ร่อนตั้งแต่อายุ 14 ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ภาครัฐเป็นผู้จัดให้ มาสร้างครอบครัวในพื้นที่ เมื่อมีบุตรก็ไม่ทราบข้อมูลที่จะนำลูกเข้าถึงการศึกษาที่ภาครัฐเป็นผู้จัดให้ หรือไม่มีกำลังพอที่จะพาลูกเข้าสู่ระบบการศึกษา เพราะไม่มีบัตร ไม่มีหลักฐานใด ๆที่จะแสดงความเป็นคนไทย ทำให้ขาดสิทธิต่าง ๆ มากมาย
7.งบประมาณในการทำงานด้านอุปกรณ์ที่ขาดแคลน
ข้อเสนอแนะ
• สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ตามความเหมาะสม เริ่มจากการเข้าไปพบปะพูดคุย สร้างความคุ้นเคย แล้วเสนอทางเลือกให้ เช่น กลับบ้านด้วยตนเอง ทำงาน เป็นต้น
• สร้างกระบวนการเรียนรู้ทางเลือก คือ ใช้สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว ให้กลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง มีกิจกรรมให้เด็กได้ทำตามใจตนเอง
• ภาครัฐควรนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเสริมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ เพราะ เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญมาก
ไม่มีความเห็น