เครื่องกางกั้นกามราคะอันเป็นความติดใจในร่างกายมนุษย์
เมื่อเดือนก่อนมีบุคคลผู้หนึ่ง mail มาขอภาพศพ หรือภาพประมาณเดียวกันเพื่อที่จะนำไปไว้ปลง ซึ่งก็ทำให้นึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับการเจริญอสุภกรรมฐาน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการงานมาก ทำให้ไม่ได้แนะนำอะไรไปนอกจากให้ search หาภาพเกี่ยวกับ อสุภกรรมฐาน ไปดูเอง มาช่วงนี้เป็นเวลาดีงาม พอมีเวลาว่างในวันหยุด เตรียมต้อนรับช่วงเข้าพรรษา เลยคิดว่าอยากบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากสังคมรอบข้างมีปัญหานี้เยอะเหลือเกิน โดยประสบการณ์ส่วนตัวมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นและคิดว่าน่าจะขยายผล หรือเล่าให้ผู้อื่นได้รับรู้ เผื่อบางท่านจะสามารถนำไปใช้ในการป้องกันทุกข์ทางใจได้
เชื่อว่าเราๆท่านๆ นั้นต่างรู้ดีว่ามนุษย์เราก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นหลุมดำของชีวิตให้พลัดติดตกหลุมก่อร่างสร้างทุกข์แสนสาหัสกันมานักต่อนัก รู้ทั้งรู้ว่าทุกข์แต่ก็แสวงหาเพียงเพราะสิ่งฉาบหน้าหรือสิ่งยั่วยุคือความงดงามของกาย กามราคะนั่นไง คือกิเลสที่ดึงดูดเราสู่ทุกข์นั้น หลายคนยังอยากกระโจนหา แต่ก็มีหลายคนที่รู้ถึงโทษมหันต์พยายามหลีกหนีแต่แล้วก็พลัดตกลงไปจนได้ อีกหลายคนรอดพ้นด้วยสะสมบุญ บารมี มาเพียงพอ และมีความเพียรต่อไม่ขาดสาย
เมื่อใดที่พบว่าสิ่งนั้นคือสุข ก็เตรียมใจได้ว่าสิ่งนั้นก็คือทุกข์อันเป็นธรรมดาดังกฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกคนย่อมรู้ดี แม้ว่าชีวิตรัก หรือชีวิตคู่หวานชื่นไม่เคยมีปัญหาขัดอกขัดใจ หรือนอกใจ นั่นก็ยิ่งตกหลุมดำใหญ่ เพราะเราย่อมติดในสุข หวงในสุขและคิดว่าเขาเป็นของเรา เมื่อวันหนึ่งเขาต้องจากไปอย่างกระทันหันลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเรายังหลงยึดติดในสุขที่มีเขา ยังหลงติดยึดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของเขา นี่เป็นเพียงแค่ผลทุกข์ขั้นต้นๆ ของชีวิตสุขๆ ทั่วไป
มาดูชีวิตแบบสุขๆ ทุกข์ๆที่มีอยู่มากมายและมีมานมนาน ด้วยการสุขๆ ทุกข์ๆจากการนอกใจ หรือเมื่อมีคำว่าบุคคลที่ 3 หรือการติดเข้าไปในวังวนของหลุมดำในศีล 5 ข้อที่ 3 ดูบ้าง เชื่อเถอะว่า ไม่มีใครอยากเป็นเช่นนั้นหรอกทั้งตอนเริ่มแรก ขณะเป็นอยู่ และตอนลงท้าย อาจเป็นเพราะแรงกรรม หรือความไม่รู้ ความคิดเห็นผิด (มิจฉาทิฐิ) หรือสิ่งใดก็ตาม แต่เชื่อว่าหลายคนรู้ด้วยปัญญาว่าเป็นสิ่งไม่ดี อีกทั้งเป็นเหตุแห่งทุกข์ พร้อมกับหาทางออกหรือพยายามสร้างปราการป้องกัน
อสุภกรรมฐานคือแนวทางหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้นำมาสั่งสอนพระสาวก เพื่อการดับราคะจริต โดยพิจารณาความไม่สวย ไม่งาม ความสกปรก โสโครกจากกายที่เรามักยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นของสวย ของงาม น่ามอง น่าจับต้อง จากการปรุงแต่งหรือจากการขัดสีฉวีวรรณ ห่อหุ้มด้วยของสวยของงามและของหอม ฯลฯ ซึ่งถ้าอยากรู้เกี่ยวกับอสุภกรรมฐานและภาพประกอบ ก็ลอง ค้นหา ดูได้หลายๆแหล่ง รวมทั้งที่นี่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
(แต่ต้องขอแจ้งก่อนว่า ถ้าไม่พร้อมที่จะดูภาพอันไม่งาม ก็ไม่ควรดู )
โดยส่วนตัวแล้วอาจเป็นเพราะยังมีบุญวาสนาในทางธรรมน้อยอยู่ก็ไม่ได้รู้เรื่องอสุภกรรมฐานมากมาย หรือไม่ได้ศึกษาปฏิบัติจริงจังใดๆ แต่ด้วยชะตาชีวิตจัดให้ ทำให้จับพลัดจับผลูมาเรียนพยาบาลซึ่งตอนเรียนก็เพราะตามใจคุณแม่ แบบว่าไม่เต็มใจเลยเนื่องจากสมัยเรียนมัธยมก็รู้แล้วว่าตนเป็นคนไม่ชอบการเห็นสภาพบาดแผล หรือร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บมีแผลเหวอะหวะ เลือดโทรมเหม็นคาวคลุ้ง จำได้ว่านั่งรถเมล์ไปโรงเรียนผ่านเหตุการณ์แบบนี้บนถนนจะหลับตา หรือหันหน้าไปทางอื่น ในขณะที่คนอื่นอยากจะดูกัน พอคุณแม่บอกว่าอยากให้เรียนพยาบาลก็หงุดหงิดและคัดค้าน แต่พอนาทีสุดท้ายที่คุณแม่บอกว่าแม่สุขภาพไม่ค่อยดี ลูกจะได้มาดูแลแม่ตอนนั้นก็ยอมโดยดี แถมไปเรียนได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาเสียด้วยเพียงแต่ถ้าคราใดที่ต้องฝึกงานในห้องผ่าตัดบางประเภทที่มีเลือดออกมากๆ แสงไฟห้องผ่าตัดที่สะท้อนกับสีเลือดแบบสีส้มๆ จำนวนมากๆอันมาจากอวัยวะบางจุด (ไม่เหมือนกันทุกอวัยวะ) เป็นระยะเวลานานๆ จะรู้สึกว่าในหัวในตาเป็นสีแดง หน้าจะมืด อีกทั้งเวลาที่ต้องทำหัตถการกับผู้ป่วยที่ต้องใช้มีด เข็ม กรีดหรือแทงลงไปในเนื้อหนังมังสาของผู้ป่วยเพื่อการรักษา ก็รู้สึกเหมือนมีดนั้นกรีดลงไปในเนื้อของเรา จึงทำให้เวลาเลือกแผนกเมื่อมาทำงานจึงไม่เลือกแผนกที่ต้องทำหัตถการในการกรีดเนื้อกรีดหนังของผู้ป่วย ส่วนที่เริ่มเป็นปัญหามากๆมาเกิดเมื่อเริ่มตั้งครรภ์น้องอินซึ่งจากนั้นมาอาการก็ไม่หายเลยจนถึงปัจจุบันคือ ถ้าได้เห็นสารคัดหลั่ง เลือด พร้อมกลิ่นคาวของสารคัดหลั่งและเลือดดังกล่าวของผู้ป่วยก็มีอาการจะอาเจียนแบบอัตโนมัติ ห้ามไม่ได้ มีคราวหนึ่งที่ผู้ป่วยมาด้วยอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร (แต่อาการภายนอกยังไม่ชัด) ผู้ป่วยมีอาเจียนซึ่งมีสีแบบกาแฟน้อยๆ ปนมา เราต้องใส่สายยางเข้ากระเพาะอาหารต่อกับ Syringe ขนาด 50 ซีซีเพื่อล้างกระเพาะอาหาร คราวนั้นแค่เพียงต่อ Syringe กับสายยางเท่านั้นเองไม่ต้องใช้แรงดึงดูดใดๆ ก็มีเลือดทั้งเก่าและใหม่พุ่งพรวดออกมาตามสายยาง ความรู้สึกภายในแบบปัจจุบันทันด่วนเสมือนเป็นเลือดออกจากกระเพาะอาหารของเราพุ่งพรวดขึ้นมาที่ลำคอ ศีรษะแล้วก็หน้ามืดเป็นลมครั้งแรกในชีวิต โดยที่มือยังถือ Syringe อยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
โดยสรุปจากการเรียนพยาบาลและการทำงานนั้นเท่ากับว่าเราได้เห็นภาพความไม่สวยไม่งามของร่างกายมนุษย์อย่างมากทั้งภายใน (โดยเฉพาะในห้องผ่าตัด) และภายนอก เสมือนกับได้กระทำอสุภกรรมฐานโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของความไม่ยินดีในร่างกายมนุษย์ และพยายามรักษาร่างกายนี้ให้มีสุขภาพดีเพื่อเป็นฐานของการปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์
แต่แค่นี้ไม่พอหรอก หลายคนโดยเฉพาะผู้ชายจะรู้ดี ให้เคยเห็นภาพความไม่งาม หรือเห็นร่างกายที่ไม่งามของคนอื่นมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถดับราคะที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นกายที่งดงามของคนที่เราถูกชะตา หรือคนที่เรารู้สึกโดน หรือเกิดความรัก ความชอบใจแบบปัจจุบันทันด่วนเข้าอย่างจัง อาจจะได้แรงกรรม หรือความต้องการของเจ้ากรรมนายเวรที่อยากเล่นงานเรา (กรณีที่ไม่ใช่คู่บุญ) ถ้ารู้ว่าเราชอบแบบใด ก็จะสรรหามาให้เพื่อการตกหลุมดำใหญ่นั่น จึงไม่แปลกเลย ที่ใครหลายๆ คนเพียรพยายามรักษาศีลได้เกือบทุกข้อ แต่ตกม้าตายที่ข้อ 3 ก็เพราะความหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ต้องใจในช่วงแรกๆ ให้หลงเคลิบเคลิ้มเป็นสุขซะหนักหนา ผ่านไประยะหนึ่งที่เจ้ากรรมนายเวรเห็นอาการติดสุขได้ที่ก็เริ่มเอาคืนด้วยการจัดหาบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่นบุคคลที่ 3 หรือบุคคลที่จะมีผลกับกรรมแห่งการผิดศีลมาให้ อีกทั้งสิ่งที่น่ายินดีที่ทำให้ติดอกติดใจในช่วงแรกก็เริ่มแสดงธรรมคือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งรูปที่เคยเห็นว่าสวย หล่อ งดงาม ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความไม่สวย ไม่งาม อุจาดตา สิ่งที่เคยฉาบหน้าว่าหอม ก็เริ่มส่อแสดงแจ้งให้เห็นถึงจุดหรือตำแหน่งเหม็นที่จริงๆก็มีเหมือนกันทุกคนซึ่งต้องคอยชำระล้างขัดถูกันทุกวันจึงคิดว่าหอม วาจาที่เคยหวานหูก็เริ่มมีการถกเถียงบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง ทะเลาะเบาะแว้งบ้างสร้างความขัดเคืองบาดจิตบาดใจ และยิ่งทุกข์เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแรกเริ่มที่ชักนำให้เข้าไปติดบ่วงหรือหลุมดำนั่น แปลกนะที่เราเห็นคนบางคนวนเวียนกับเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้เบื่อ...ทั้งที่เวลาทุกข์ก็บอกว่า “ไม่เอาอีกแล้ว”
จากประสบการณ์กับการเห็นสภาพร่างกายอันไม่งามของผู้ป่วยและศพที่ไม่เป็นชิ้นดี บอกเราว่ายังไม่สามารถดับราคะจริตได้ (ยกเว้นอริยบุคคลหรืออริยสงฆ์ที่สะสมบุญ บารมีทางนี้มาดีแล้ว)ถ้ายิ่งเป็นแค่การดูภาพ ไม่ได้เห็นของจริง ซึ่งไม่มีกลิ่นใดๆ ให้น่าสะอิดสะเอียน ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ในการที่จะนำมาพิจารณาเวลาได้เห็นของสวยของงามยั่วกิเลส เพื่อหวังจะรู้เท่าทันและหันมามองความไม่งามภายในแทน สุดท้ายก็ตกหลุมดำกันเป็นทิวแถว ไม่ว่าหญิงหรือโดยเฉพาะคุณผู้ชายที่บางคนถึงขั้นน้ำลายไหล สายตาเคลิบเคลิ้มออกนอกหน้า เพราะอะไรหรือเพราะภาพเหล่านั้นหรือความไม่สวยไม่งามเหล่านั้นมันเป็นของคนอื่น แถมถ้าแรงกรรมมีมากก็ยากที่จะพิจารณาได้ทัน รู้อีกทีก็สายซะแล้ว แล้วก็บ่นว่า “มันเป็นกรรม”
สิ่งที่ดีกว่า สำหรับตนเองและคิดว่าได้ผลมากกว่าในการดับราคะจริตของการติดยึดในกาย ของบุคคลอื่นเช่นเพศตรงข้าม หรืออาจเป็นการต่อยอดกันก็คือ การใช้สติปัฎฐาน 4 ซึ่งถ้าจะดูรายละเอียดแบบเข้าใจก็หาอ่านได้จาก “มหาสติปัฎฐานสูตร ของคุณดังตฤณ” ซึ่งเมื่อกลับมาพิจารณาผลที่ดีในเรื่องของราคะจริต ณ ปัจจุบัน พบว่าได้ผลมาจากการปฏิบัติตามง่ายๆ จากหนังสือเล่มนี้ทีเดียว โดยเชื่อมโยงกับจริตนิสัยของตัวเองที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น คืออาการสะอิดสะเอียนอย่างมากโดยอัตโนมัต เมื่อได้กลิ่นจากจุดหรือตำแหน่งแสดงของหรือกลิ่นเหม็นของร่างกายเราๆท่านๆทั่วไปนี่แหละ มาเป็นตัวช่วยในการเจริญสติในส่วนของกาย (กายานุปัสสนา) แล้วค่อยตามดู เวทนา จิต และพิจารณาธรรมข้อนี้ต่อ ซึ่งสรุปประสบการณ์ที่ทำแล้วได้ผลดังนี้
1. หมั่นเจริญสติตามรู้ กาย เวทนา จิต และธรรม ตามหลักสติปัฎฐาน 4 ไว้ จะได้เป็นคนที่มีสติระลึกรู้ปัจจุบันขณะว่า เรา กำลังรู้ หรือเผลอหลง มีความโกรธ ความโลภ แค่ไหน ถ้าไม่หมั่นรู้บ่อยๆ ก็จะเผลอนานเกินไป ตกหลุมดำใหญ่ขนาดไหนก็ยังไม่รู้ ตามรู้ได้ช้าบ้าง เร็วบ้างก็ยังดี ดีกว่าไม่รู้ซะเลย
2. เพียรพิจารณาร่างกายอันเป็นของสกปรกบ่อยๆ เป็นประจำเท่าที่นึกได้เช่นเวลาอาบน้ำ แปรงฟัน เช่นเมื่อแปรงฟันตอนเช้าตื่นมาใหม่ๆ ก็พิจารณาความจริงแท้ว่ามันเหม็นกันทุกคน ถ้าไม่ได้แปรงหรือทำความสะอาดแบบนี้ตามเวลาก็คิดดูว่าจะเป็นอย่างไร (ซึ่งเราจะนึกถึงภาพและกลิ่นแบบนั้นได้ทันทีถ้าเราเคยได้กลิ่นและเห็นภาพแย่ๆแบบนั้นจากคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพปากและฟัน หรือถ้าเคยได้กลิ่นจากคนที่เรารักได้ยิ่งดีใหญ่) หรือเมื่อเวลาที่เราจะอาบน้ำบางครั้งก็เริ่มมีกลิ่นตัวก็ พิจารณา เช่นเดียวกันว่าถ้าเราหรือคนๆนั้นที่เราชื่นชอบ ชื่นชมซะนักหนานั้นไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกายเลยจะเป็นอย่างไร ลองนึกถึงกลิ่นตัว แรงๆ ที่เคยได้กลิ่นแล้วรู้สึกรับไม่ได้ และยิ่งจะดีถ้ามีสักครั้งที่เคยได้กลิ่นตัวทะแม่งๆ จากคนที่เราเคยมีอารมณ์อ่อนไหว อยากอยู่ใกล้ อยากสัมผัสนั้นมาประกอบด้วยแม้สักครั้งเดียวที่เคยได้กลิ่นไม่ดีๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะนำมาพิจารณาประกอบบ่อยๆ สะสมการพิจารณาต่อยอดไว้ทุกวันๆเหมือนการหยอดกระปุกการพิจารณากาย เป็นอสุภกรรมฐาน (ต้องทำไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกิเลสคิดหวังผล แล้ววันหนึ่งจะแสดงผลให้ดู)
3. วันใด ที่เกิดไปเจอ สาว หรือหนุ่ม ที่เจ้ากรรมนายเวรจัดให้ (เพราะมาในเวลาไม่สมควร คือมาเวลาที่ถ้าเผลอใจไปคบแบบมีกามราคะเป็นตัวตั้งด้วยแล้วจะผิดศีล) ถ้าเป็นระยะแรกๆ ที่ยังฝึกข้อ 1 และข้อ 2 มาไม่ดี หรือยังไม่นานพอเมื่ออารมณ์วูบไหว อยากอยู่ใกล้ อยากได้ อยากสัมผัส ก็ให้ทำตามข้อ 2 ทันทีคือนึกถึงจุดหรือตำแหน่งอวัยวะที่มีของหรือกลิ่นเหม็นที่เราเคยได้กลิ่นจากคนที่เราชอบมากที่สุด บอกแล้วนะว่าสิ่งใดก็ได้ให้หาเอา บางทีอาจเป็นผู้หญิงสวย ผมยาวสลวยแต่พอไปอยู่ใกล้ๆ กลับได้กลิ่นสาปๆ ที่หัว อันนี้ก็จดจำกลิ่นไว้ วันใดไปเจอคนสวยที่เราไม่สมควรแตะต้องก็ให้นึกกลิ่นนี้ออกมาซึ่งเราย่อมจำได้ดี พิจารณาว่าถ้าคนสวยที่เราสนใจ ไม่ชำระล้าง ก็กลิ่นสาปเหมือนกัน ฯลฯ อย่าลืมนะว่าเคยได้กลิ่นอะไร ก็นำกลิ่นนั้นมาเป็นอารมณ์ในการทบทวนให้เห็นธรรม ร่วมกับภาพร่างกายภายในที่น่าเกลียดที่เคยเห็นร่วมกับกลิ่นแย่ๆที่เคยได้กลิ่นแรงๆ ใช้สติปัญญาทบทวนไปเพื่อการไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุ จนเกิดอาการเบื่อหน่ายไม่อยากได้ ไม่อยากสัมผัสแล้ว ที่สำคัญก็ต้องไม่ประมาทตัดโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ใกล้บุคคลนั้นด้วย สำหรับบางคนแค่นี้ก็ผ่านฉลุย แต่ถ้ากรรมยังมี ก็อาจต้องวูบไหว ก็ไห้ตามรู้จิต ตามรู้เวทนาคือความสุขและความทุกข์ไป ยังไงเสียถ้าห้ามใจไม่ได้จริงๆ ก็ข้อแค่ผิดเพียงมโนกรรมละกัน
4. ตัวช่วยที่เป็นองค์ประกอบอีกหนึ่งข้อ ถ้าเกิดความรักกับสาวหรือหนุ่มคนนั้นขึ้นมา ไม่ใช่แค่เพียงวูบไหวไปตามอารมณ์สัญชาตญาณ นี่ก็เรื่องใหญ่ รักแล้วจะตาบอดหาจุดตำแหน่งแสดงของหรือกลิ่นเหม็นไม่เจอ พูดไม่ดี ทำไม่ดียังฟังและเห็นเป็นดีได้ อยากจะยึดมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของทั้งที่เขามีเจ้าของหรือเรามีเจ้าของแล้ว (อันนี้กรรมหนัก) ก็ต้องพยายามเปลี่ยนความรักจากเชิงชีววิทยา มาเป็นรักแบบจิตวิญญาณ (รักเหมือนเวลาที่เรารัก พ่อ แม่ เพื่อน พี่ น้อง ลูก) ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องครอบครอง เขาจะมีคนอื่น เขาจะมีแฟน มีคู่ก็ไม่เกี่ยวกับเราเป็นรักแบบกัลยาณมิตร เพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูลและทำสิ่งดีให้กัน เป็นการให้อย่างหนึ่งให้ทั้งตัวเราเองและเขาด้วย ซึ่งจะช่วยป้องกันความคิดที่จะกระทำการแย่งของๆใครมาเป็นของๆตัว
5. ถ้าปฏิบัติข้อ 1-4 มาได้บ่อยๆ ไม่ลดละ ประกอบกับสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เช่น สมาธิ เจริญสติประจำวัน ทำบุญให้ทาน ปล่อยปลา ฯลฯ พร้อมด้วยการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่กระทำดังกล่าวให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกๆวัน รับรองได้ค่ะว่าคุณจะเจริญสติดีขึ้นเรื่อยๆ และกามราคะในเพศตรงข้ามของคุณจะลดลง จนคุณเองจะสงสัยว่ามันหายไปไหน ทั้งที่มีสาวสวย หนุ่มหล่อ ผ่านไปผ่านมาหรือแม้กระทั่งดูหนัง ดูละคร ก็ไม่ได้ยั่วยุอะไรกับคุณ แม้พยายามจะนึกเพื่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นด้วยความสงสัย หรืออยากทดลองพิสูจน์มันก็ไม่เกิด แค่นี้ชีวิตก็ดีขึ้นตั้งเยอะ กับการป้องกันหรือบริหารจัดการความเสี่ยง หรือการแก้ไขปีนไต่จากการตกหลุมดำด้วยการผิดศีลข้อ 3
6. ส่วนคนที่มีความรักหวานชื่นรื่นรมย์กับคู่ชีวิต การทำอสุภกรรมฐานควบคู่กับ เจริญสติปัฎฐาน และมรณานุสติ ก็จะทำให้คุณอยู่กับปัจจุบันขณะกับเขาแบบไม่ติดสุข หรือติดในเขา แบบว่า พร้อมกับการจากไปทั้งของคุณและเขาอันเป็นธรรมดาของโลก เป็นการป้องกันทุกข์ใหญ่หนักหน่วงเบื้องหน้า แม้ทำไม่ได้มาก อย่างน้อยก็จะช่วยลดทุกข์ใหญ่ให้เล็กลง
ลองทำดูนะคะ สำหรับคนที่กำลังหาวิธีดับทุกข์ที่ไม่อยากทำและไม่อยากเป็น เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนค่ะ ส่วนตัวเองก็จะเพียรพยายามต่อไป เพราะธรรมนั้นไซร้ เพียงแค่ขี้เกียจ ลดละ ก็เท่ากับต้องมาเริ่มต้นใหม่
สุดท้ายต้องกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทางธรรมนับตั้งแต่พระบรมศาสดาที่ให้ความรู้คือพระธรรมคำสอนเพื่อการพ้นทุกข์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้วในโลกนี้ และที่สำคัญคือ คุณดังตฤณ ผู้ให้ความรู้ข้อคิดและข้อปฏิบัติดีๆ จากพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มาขยาย อธิบายให้เหมาะกับฆราวาสชาวโลกอย่างเราซึ่งอยู่ในวงล้อมแห่งสิ่งยั่วยุนำสู่ทุกข์นานับประการ
หมายเหตุ : บันทึกนี้เป็นบันทึกจากประสบการณ์อันเนื่องมาจากการศึกษาหาความรู้เท่าที่พอจะหาได้แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของตนเอง ดังนั้นผลลัพธ์จึงเกิดจากการจัดการความรู้ของตนซึ่งคงไม่เหมือนใครด้วยจริตนิสัย หรือบุญกรรมที่สะสมมาแตกต่างกัน เพียงนำมาบันทึกไว้เป็นบททบทวนของตนเอง ร่วมด้วยนำมาขยายผล สำหรับผู้ที่มีจริตนิสัยหรือความรู้คล้ายกัน และต้องการหาแนวทางที่มีคนเคยทำมาอันเป็นการต่อยอด หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางธรรม ต่อไป
มาศึกษาธรรมมะ ก่อนจะถึงวันพระใหญ่
ดีค่ะ ได้รู้ข้อคิดดีดี
สวัสดีค่ะ พี่ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
สวัสดีคะ
น้องแหววคะ
ดีจริงๆคะ วันนั้นที่ได้มีโอกาสคุยกัน ( นิ้ดเดียว)
ขอให้น้องแหวว มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจตลอดไปนะคะ
แม่ต้อยจะ ศึกษา ตามไปด้วยคะ
สวัสดีค่ะ คุณ แม่ต้อย
สุดยอดเลยค่ะพี่เเหวว กุ้งมาขอบคุณที่พี่เเหววตามไปให้กำลังใจถึงขอบเวที
(บล็อก)กุ้งคงต้องเเวะมาพัฒนาระดับจิตวิญญาณของตัวเองกับพี่เเหววบ่อยๆซะเเล้ว เพื่อจะได้ไปเติมสุขภาวะทางจิตวิญญาณให้เด็กป่วยที่รอคอยเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันค่ะ
คนอะไร ทั้งสวยทั้งใจบุญ อิอิ ชื่นชม
ขอบคุณมากค่ะน้องกุ้งนาง สุธีรา
สวัสดีค่ะ พี่แหวว
พอลล่าค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ทบทวน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งเท่าใดนัก แต่ชท่นชมพี่แหววที่ถ่ายทอดออกมาชัดเจนมากๆค่ะ ขอฝากเนื้อฝากัวด้วยค่ะ
พอลล่าชอบเป็นเวลาเจอหน่มหล่อๆ ต้องฝึก ต้องฝึก
ขอบคุณนะคะ
โถ!! น้องพอลล่า ยังอยู่ในวัยสาวๆ แบบนี้ก็เป็นธรรมดาค่ะ ที่แน่ๆ น่ารักอย่างพอลล่าเนี่ย ก็ต้องระวังการเป็นจุดสนใจให้ใครๆ ที่เป็นบุรุษเขาต้องมานั่งฝึกกันละไม่ว่า (หลังจากที่เห็นกันวันนั้น ยืนยันค่ะ พอลล่าน่ารักมาก น่ารักกว่าในรูปด้วย)
ที่กรุณาลูกหลานนำความดีความงามมาฝากถึงที่
เช่นเดียวกับพี่เขี้ยว...
ตอนยังเป็นเด็ก-ที่วัดเปิดสอนหลักสูตรธรรมะเหมือนกัน ชาวบ้าน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวนิยมเข้าไปเรียนกันมาก ชวยให้คนใกล้วัดเข้าวัดไปในตัว
....
เป็นกำลังใจให้เช่นเคย นะครับ
ขอบคุณมากครับที่ชื้แนะแนวทางอีกครั้ง
สวัสดีค่ะคุณพี่ มนัญญา ~ natachoei
สวัสดีค่ะคุณ แผ่นดิน
คุณขวัญ
เมื่อใดที่พบว่าสิ่งนั้นคือสุข ก็เตรียมใจได้ว่าสิ่งนั้นก็คือทุกข์อันเป็นธรรมดา...
ธรรมฐิตขออนุโมทนากับเพชรเม็ดประเสริฐที่กำลังทอแสงอันเจิดจ้าอย่างงดงาม
ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าสุขเวลาได้มาขอรับ..
สาธุ..
แวะมาเยี่ยม พร้อมเรียนรู้กายและจิตค่ะ
ขอบคุณนะคะน้องแจ๋วแหววที่มีความปรารถนาดีและความเพียรในการแบ่งปันประสบการณ์การเจริญสติอย่างละเอียดเช่นนี้ น้องแจ๋วแหววเป็นผู้มีความเพียรและสม่ำเสมอในการปฏิบัติธรรมดีจังเลย ขออนุโมทนาค่ะ
กราบนมัสการท่านธรรมฐิต
สวัสดีค่ะคุณขจิต ขจิต ฝอยทอง หนูรพีพรรณ, คุณพี่ naree suwan และคุณพี่นุช คุณนายดอกเตอร์
ซาบซึ้งกับการมาเยี่ยม ทักทาย และแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจและความรู้สึกอย่างมาก ช่วงนี้มีความจำเป็นต้องห่าง G2K เพื่อการศึกษาหาความรู้กับศาสตร์อีกแขนงหนึ่งเพื่อการดูแลชีวิตและเท่าทันชีวิตแบบองค์รวม ให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคม ซึ่งต้องใช้เวลา พลังความคิด พลังชีวิตที่ดีงาม ความรู้ ความพยายามศึกษา วิจัยจากการปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาที่ได้ข้อสรุปที่ดีงามจะขยายผลทาง G2K แน่นอนค่ะ
ได้เข้ามาอ่านด้วยความบังเอิญ ขอโมทนาบุญกับความรู้ทางธรรมที่เกิดกับใจพี่แหววด้วย ช่วงนี้โรงพยาบาลบ้านแพรกเป็นยังไงบ้างครับ ฝากความคิดถึงถึงทุกคนด้วย
หว้งว่าจะได้เป็นกัลยามิตรกันต่อไปตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานนะครับ
พี่แหววหายไปนานมากๆๆคิดถึงๆๆๆๆ
สวัสดีครับคุณ พยาบาล
มาเรียนเชิญลูกจ้างรพ.บ้านแพรก ร่วมงานประชุมสามัญประจำปี ในวันที่ 4 กันยายน 2553 นี้ที่รพพระนครศรีอยุธยาครับ
ขออภัยอย่างสูง ที่มิได้เข้ามาทักทายแบบเป็นทางการ กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือน นานๆ ก็เข้ามาสังเกตการณ์แบบ แว๊บๆ ค่ะ