โรงเรียนบ้านตะโละใส กับ Action Learning / Active Leaning
คุณหมอวิจารณ์ ได้แนะนำให้ศึกษาการปฏิรูปการเรียนรู้จากโรงเรียนบ้านตะโละใส คณะผู้วิจัยจึงได้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะครูของโรงเรียนบ้านตะโละใส เป็นการเปิดหู เปิดตา เปิดใจ และเปิดสมองที่ดีมากจริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผมเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งว่า การปฏิรูปการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องเอาผลสัมฤทธิ์เป็นตัวตั้งเสมอไป สำหรับคณะครูของตะโละใส “ความสุขจากการเรียน การเรียนรู้ที่มีความหมาย และการสร้างแรงดลใจบันดาลใจ” ของนักเรียนสำคัญกว่าผลสัมฤทธิ์ ท้ายที่สุดผลสัมฤทธิ์จะตามมาร่วมสมทบเองอย่างแน่นอน
ครูโรงเรียนบ้านตะโละใสพัฒนาการสอนจากการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ (ปรับใจ) เน้นการมีส่วนร่วมของ
นักเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง ผ่านการบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเริ่มจากนักเรียนเสนอประเด็นการเรียนรู้ วิธีการศึกษาหาความรู้ตามความสนใจและพัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้ใกล้ตัวนำไปสู่การเชื่อมโยงองค์ความรู้ตามเนื้อหาสาระการเรียนรู้ หัวใจของความสำเร็จคือ ทำต่อเนื่องและเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี ด้วยความเชื่อที่ว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำ เป็นการพัฒนางานที่ดีที่สุด
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดแบบ “ถอนรากถอนโคน” นี้ มาจาก “แรงผลักดัน” ของชุนชนที่อยากให้มีหลักสูตรขนมท้องถิ่นในการเรียนการสอนของโรงเรียน เพื่อให้สิ่งที่เป็น “สมบัติของชุมชน” ถูกถ่ายทอดไปยังลูกหลายของคนในชุมชนผ่านการเรียนการสอนในโรงเรียน
จากการร่วมมือกันทำหลักสูตรท้องถิ่น พัฒนาสู่การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่สอดแทรกการวิจัยในชั้นเรียนให้กับเด็ก และการทำชุมชนสัมพันธ์ที่ให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอน และพัฒนาเด็กนักเรียนควบคู่ไปด้วย
หลังจากผ่านการลองผิดลองถูกและผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คณะครูของโรงเรียนบ้านตะโละใสก็สามารถสรุปได้ว่า “ท่าไม้ตาย” ของกระบวนการเรียนการสอนก็คือ การเอาเด็กเป็นตัวตั้ง ปรับวิธีคิดของครู และใช้ธรรมชาติของเด็กเป็นแรงขับในการเรียนรู้ โดยการสร้างความอยากรู้ให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และคิดของเด็ก นำไปสู่กระบวนการจัดการเรียนการสอน
สำหรับเด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านตะโละใส การวิจัยเป็นเรื่องน่าสนุก และอยากให้มีชั่วโมงวิจัยทุกวันด้วยซ้ำไปแทนที่จะเป็นเฉพาะวันจันทร์และวันอังคาร เด็กนักเรียนเตรียมตัว แต่งกายให้เหมาะสมกับการลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลในวันนี้ ครูคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาถามว่าวันนี้จะทำอะไรกัน นักเรียนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ครูครับวันนี้ผมจะไปวิจัยครับ” คำว่า “วิจัย” เป็นคำปกติพื้นๆ สำหรับวิธีการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งมีคุณค่ามากกว่าวัฒนธรรมเดิมที่เรียกสวยหรูว่า “ทัศนศึกษา หรือ ศึกษานอกสถานที่”
วัฒนธรรม “ทำงานด้วยใจ เน้นลงมือทำมากกว่าทำงานด้วยปาก” ของครูโรงเรียนนี้น่าชื่นชม ที่สำคัญครูได้พัฒนาตนเองจากการ “ทำงาน” จริงๆ ไม่ใช่จากการ “ทำผลงาน” และการสอนเด็กอย่างทุ่มเทและให้ใจนี่แหละที่เป็นวิธีธรรมชาติที่พัฒนาเด็กได้ดีที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีพัฒนาครูได้ดีที่สุดและยั่งยืนอีกด้วย
ถ้าได้ใจครูและครูเอาด้วย
ประโยชน์ คุปต์กาญจนากุล
ณัฐวุฒิ สุวรรณทิพย์
จิระรัตน์ คุปต์กาญจนากุล
ไม่มีความเห็น