“พี่ ทำอย่างไรก็ได้ ที่ไม่ให้ลุงคำถอดสายสวนปัสสาวะ”
เสียงของพยาบาล ER ดังก้องอยู่ในหูของฉัน มันเกิดอะไรขึ้นในปี 2552 ลุงคำวัยสูงอายุมาโรงพยาบาลด้วยปัสสาวะกระปริบกระปรอย แพทย์ให้การวินิจฉัยว่า ต่อมลูกหมากโต มีอาการปวดชายโครงซ้าย หนาวสั่น ต้องใช้รถของโรงพยาบาลไปรับถึงบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า ลุงคำได้รับการรักษาโดยใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ บางครั้งลุงคำต้องมานอนโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ หนาวสั่น การดำเนินชีวิตของลุงคำต้องเปลี่ยนไป เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ต้องใช้ Walker bar ช่วยในการพยุงตนเองเวลาเดิน มือข้างหนึ่งถือถุงปัสสาวะ การรักษาลุงคำไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทีมงานโรงพยาบาลบ้านลาด ได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลทั่วไปให้การวินิจฉัยว่ากระดูกทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการท้องผูก ปัสสาวะออกน้อย และมีอาการปวดชายโครงถึงบั้นเอวเป็นช่วง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฉันอยากไปเยี่ยมบ้านของลุงคำ ฉันจึงชวนทีมงานไปเยี่ยมบ้านลุงคำในช่วงบ่าย ถึงแม้ภาระงานจะมากแต่ด้วยความมุ่งมั่นเราจึงได้ไปบ้านลุงคำ บ้านลุงคำห่างจากโรงพยาบาล 5 กิโลเมตร เมื่อคนขับรถพาพวกเราไปถึงบ้าน สิ่งที่พวกเราพบคือ ชายชรา รูปร่างผอมค่อนข้างสูง ผิวคล้ำ ใส่กางเกงขาก๊วยสีดำเก่า ๆ ไม่ได้ใส่เสื้อ กางเกงที่ใส่หลวมรุ่มร่วม กำลังลงบันไดบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น พื้นใต้ถุนบ้านเป็นพื้นดินลุงคำกำลังยืนบนบันไดบ้าน มือข้างหนึ่งจับราวบันไดไม้เก่า ๆ อีกข้างหนึ่งถือถุงปัสสาวะ ฉันรีบเดินเข้าไปช่วยเหลือ แสงแดดที่ร้อนจ้าทำให้ฉันไม่รู้สึกร้อนตามสภาพอากาศนั้นเลย ฉันพาลุงคำไปนั่งใต้ถุนบ้าน ลุงคำเล่าว่า
“อยู่กับลูกสาว ลูกเขยและหลาน 2 คน กลางวันอยู่บ้านคนเดียวเนื่องจากลูกสาวไปทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดของบริษัทเอกชนที่โรงพยาบาลบ้านลาด”
จากการสังเกตเห็นว่าข้อต่อท่อปัสสาวะมีน้ำไหลซึม ฉันถามว่า
“ทำไมข้อต่อสายสวนปัสสาวะมีน้ำไหลซึม”
“สายมันเกะกะ” แกพูดยิ้ม ๆ
“เดี๋ยวติดเชื้อ แล้วต้องไปนอนโรงพยาบาลนะ”
“ครับ ผมจะไม่เอาออกอีก” ฉันรีบโทรศัพท์หาน้องที่ ER
“เดี๋ยวจะส่งลุงคำไปสวนปัสสาวะใหม่นะ” เสียงปลายสายตอบว่า
“พี่ทำอย่างไรก็ได้ที่ไม่ให้ลุงคำถอดสายปัสสาวะอีก” ฉันรับคำในสาย พร้อมวางหูโทรศัพท์ ฉันเดินดูรอบ ๆ บ้าน และขึ้นไปบนบ้าน มีฟูกเก่า ๆ ปูเป็นที่นอน กลิ่นเหม็นอับ มุมหนึ่งเป็นที่สำหรับบูชาพระ อีกมุมหนึ่งเป็นที่นอนของลุงคำ และเป็นที่นอนของครอบครัวลูกสาว พื้นบ้านมีฝุ่นจับหนาเตอะ มีขวดยาน้ำ ได้แก่ ยาโรคกระเพาะ ยาท้องอืด ยาน้ำตรากระต่ายบิน มียาอยู่เต็มขวดบ้าง ครึ่งขวดบ้าง ประมาณ 50 ขวด วางระเกะระกะมีใยแมงมุมโยงระหว่างขวด ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ วางอยู่ 3 ใบ ฉันลงไปดูข้างล่างพร้อมทีมงานเข้าไปในครัว มีแคร่ไม้ไผ่ ทัพพี ตะหลิววางอยู่บนพื้น มียาต้ม และต้มฟักหม้อใหญ่ ฉันเปิดดู ถ้าเป็นบ้านเราคงทิ้งไปแล้ว พยาบาลแนะนำเรื่องความสะอาดบ้านและการดูแลลุงคำให้กับลูกและหลาน ๆ
เราใช้เวลาอยู่ที่นั่น 2 ชั่วโมง จึงขอตัวกลับ แต่ข่าวการถอดสายสวนของลุงคำยังก้องอยู่ในหูของฉันตลอดเวลา ในใจคิดว่า “จะทำอย่างไรดี” พยาบาลคนหนึ่งเล่าว่า
“ต้องเอาพลาสเตอร์พันตรงข้อต่อให้แน่น”
ทีมงานได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้กำหนดขึ้น แต่สิ่งที่พวกเราทำไปนั้นไม่ได้ผล ลุงคำยังถอดสายออกเสมอ น้องอีกคนหนึ่งบอกว่า
“ต้องใช้พลาสเตอร์แปะที่ขาให้แน่น ๆ ด้วย”
เพื่อไม่ให้ลุงดึงออก ใครจะคิดบ้างว่า ลุงคำซึ่งเคยเดินอยู่บ้าน ดายหญ้า คุยกับเพื่อน บ้านโน้น บ้านนี้ทุกวัน เมื่อป่วยเป็นต่อมลูกหมากโต ด้วยอายุเพิ่มมากขึ้น ต้องใช้ Walker bar ช่วยพยุง มือข้างหนึ่งถือถุงปัสสาวะ เพียง Walker bar ลุงต้องใช้สองมือเพื่อยก Walker bar แล้วถุงปัสสาวะจะไปอยู่มือไหนของลุง ความคิดแวบหนึ่งเข้าในใจของฉัน พวกเราพยาบาลเยี่ยมบ้าน พยาบาลห้องคลอด พยาบาลผู้ป่วยใน คนงานและคนขับรถต้องระดมสมอง เราจะใช้วิธีการใดช่วยถือถุงปัสสาวะ คนหนึ่งบอกว่าใช้เข็มขัดแล้วใช้ตะขอเกี่ยวกับถุงปัสสาวะ ฉันโทรหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในโรงพยาบาลว่า
“ฉันขอเข็มขัดเก่า ๆ หน่อย”
เพื่อเอามาช่วยเหลือผู้ป่วย และแล้วแสงสว่างในใจก็เกิดขึ้น ฉันเหลือบมองผ้าขาวม้าที่ลุงคำคาดอยู่ เราจึงตกลงใจว่า จะใช้ผ้าขาวม้า ซึ่งคนบ้านนอกนิยมใช้คาดพุงเวลาขึ้นตาลเพื่อเหน็บมีด คาดพุงเวลาไปวัวลาน โพกหัวเวลาออกแดด ทีมงานจึงตกลงใจว่าจะนำผ้าขาวม้าโดยขอใช้เงินบริจาคมาตัดเย็บเป็นผ้าคาดพุง และติดตั้งถุงลักษณะสี่เหลี่ยมพอดีกับถุงใส่ปัสสาวะ ห้อยด้านขวายาวถึงเหนือเข่า กระเป๋านั้นสำหรับใส่ถุงปัสสาวะ พวกเราได้ตั้งชื่อนวตกรรมนี้ว่า “กระเป๋าผาสุก” พวกเราได้นำไปมอบให้กับลุงคำ เมื่อมาเยี่ยมครั้งต่อมา ลุงรับมันด้วยมือสั่นเล็กน้อย สีหน้ายิ้มแย้มดวงตาปิ่มด้วยน้ำตา พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ พวกเราคาดผ้าขาวม้าและให้ลุงคำลองเดินด้วย Walker bar ลุงคำบอกว่า
“ทีนี้สบายเลย ถุงปัสสาวะก็ไม่ต้องถือ ผมรับปากว่าจะไม่ถอดถุงปัสสาวะออกจากสายอีก”
ตั้งแต่นั้นมาฉันยังไม่ได้ยินข่าวการถอดสายปัสสาวะจากพยาบาล ER อีกเลย
จะเห็นได้ว่าการดูแลผู้ป่วยต้องคำนึงถึง วิถีชีวิตของผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราสามารถค้นหาปัญหารากเหง้าให้พบ และปรับวิธีการหรือกระบวนการดูแลรักษาให้เข้ากับวิถีชีวิตของผู้ป่วยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นชีวิตใหม่ซึ่งเปรียบเสมือนดอกไม้ที่เริ่มผลิบานในยามเช้า ยากที่จะหาสิ่งใดมาเทียบได้ ชีวิตใหม่ของผู้ป่วย เกิดจากการคิดอันชาญฉลาด และไม่ย่อท้อยอมแพ้แก่อุปสรรคของพยาบาล และทีมดูแลผู้ป่วยทุกคน เรามั่นใจเช่นนั้น
ไม่มีความเห็น