ขณะดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พวกเรากำลังสาละวนกับผู้ป่วยในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน เตียง1 ทำแผล อีกเตียง 1 กำลังฉีดยา และอีกเตียง 1 ก็กำลังเย็บแผล และได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล “ โอ๊ย ๆ ฉันปวดท้อง ” ฉันจึงได้หันไปตามเสียงนั้นทันที และได้เห็นหญิงท้องแก่ เดินย่างก้าวขึ้นมาบนทางลาดของโรงพยาบาล พร้อมเอามือทั้ง 2 ข้างประคองไว้ที่ท้องด้วยความระมัดระวังหัวคิ้วทั้ง 2 ข้างของเธอขมวดเข้าหากัน แล้วเธอก็หันมาบอกฉันว่า “ หนูเจ็บท้อง หนูเจ็บท้องคะหมอ” ฉันจึงได้เดินเข้าไปหาเธอและสัมผัสท้องเธอเบา ๆ และรู้สึกว่าท้องของเธอแข็งตึง ฉันจึงช่วยพยุงเธอให้เธอนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องบัตร พร้อมทั้งหันหน้าไปเรียกพนักงานเปลมารับเธอ พนักงานเปลได้ยินเสียงเรียกจึงวิ่งออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับรถเข็นนั่ง และบอกเธอว่า “ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วนั่งลงบนรถเข็น” เพื่อจะพาเธอไปห้องคลอด ขณะที่นั่งรถเข็นเธอได้บอกฉันว่า“ ฉันจะคลอดได้หรือ ท้องฉันใหญ่มาก และฉันต้องเบ่งไม่เป็นแน่น ๆ ฉันจะมีแรงเบ่งหรือหมอ ” สารพัดคำถามที่เปล่งออกมาจากปากของเธอ ฉันจึงค่อย ๆ เอามือไปจับที่ไหล่ของเธอเบา ๆ และอีกมือหนึ่งเอื้อมไปลูบหน้าท้องเธอเบาๆ และบอกว่า“ ใจเย็น ๆ หายใจเข้าไปลึก ๆ ยาว ๆ ไม่มีอะไรหน้ากังวล พวกเราจะอยู่ข้าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเธอ ” เธอหันมายิ้มและบอกว่า “จริง ๆ นะ ”
เวลาได้ล่วงเลยไป จึงทำให้เธอเกิดความวิตกกังวลใจมาก ถึงแม้ว่าฉันและพยาบาลพูดถึงเหตุผลและให้การดูแลช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดี แต่เธอก็มิได้คลายความกังวลลงยังขมวดคิ้ว 2 ข้าง ฉันจึงเข้าไปปลอบเธอโดยใช้มือสัมผัสที่แขนเธอเบา ๆ และบอกว่า “เธอไม่ต้องกลัวนะคะ ลูกในครรภ์เธอยังแข็งแรงดี ถ้าเธอเจ็บครรภ์ถี่ขึ้น เธอก็จะคลอดเร็วขึ้น” เธอหันมาสบตาและจับมือฉันเบา ๆ หลังจากนั้นปากมดลูกของเธอก็เปิดหมด ฉันจึงย้ายเธอเข้าไปในห้องคลอด เพื่อเริ่มเบ่งคลอด เธอเบ่งไปได้สักพัก สีหน้าของเธอซีดผาดแทบไม่มีสีเลือด ขมวดคิ้วเข้าหากัน 2 ข้าง ปากแห้ง น้ำตาคลอเบ้าตา 2 ข้าง และเธอก็ถามฉันว่า “เธอจะคลอดได้ไหม เธอหมดแรงเบ่งแล้ว” ฉันใช้มือสัมผัสที่มือของเธอเบา ๆ พร้อมทั้งใช้ผ้าเย็น ๆ ซับไปที่ใบหน้าของเธอ และจึงตอบเธอว่า “ไม่เป็นไร ทำใจให้สบายแล้วค่อย ๆ เบ่งไปเรื่อย ๆ ถ้าเธอไม่สามารถคลอดได้ คุณหมอจะช่วยเธอเอง ” หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเธอก็ยังเบ่งคลอดไม่ออก แพทย์จึงได้ช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศและ เธอได้คลอดบุตรเป็นลูก สาว น้ำหนัก 3,000 กรัม หน้าตาน่ารัก ผิวขาว ร้องเสียงดัง เธอยิ้มพร้อมน้ำตาคลอเบ้า และบอกกับฉันว่า “ ขอบคุณมากนะที่ดูแลและช่วยเหลือฉันตลอด ฉันหายเหนื่อย หายปวดเป็นปิดทิ้ง สมกับเป็นวันที่ฉันรอคอยมาตลอดทั้ง 9 เดือน”
7 หลังคลอด ฉันพบเธออีกครั้ง เธอเดินเข้ามาขมวดคิ้ว 2 ข้างเข้าหากัน และค่อย ๆ ก้าวขาเดินแต่ละครั้งอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง และบอกฉันว่า “ เธอปวดแผลมาก” ฉันได้ตรวจแผลฝีเย็บของเธอ พบว่าแผลฝีเย็บของเธอแยกออกจากกัน พร้อมทั้งมีตกขาวคล้ายแป้งเปียกสีขาว มีกลิ่นเหม็นไหลจากช่องคลอดตามแนวทางของระบบดูแลผู้ป่วย ฉันนั่งลงข้างเธอ แตะไหล่เธอเบา ๆ พร้อมแนะนำวิธีการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ พร้อมให้ยาฆ่าเชื้อไปรับประทานที่บ้าน
ในใจคิดว่า อยากจะไปเยี่ยมบ้าน เพื่อดูสภาพแวดล้อม การมีส่วนร่วมของครอบครัวอีก 2 วันต่อมา ฉันและทีมงานจึงได้เดินไปดูเธอที่บ้าน ขณะที่พวกเราเดินทางไป ระยะทางระหว่างบ้านเธอและโรงพยาบาลไกลกันมาก พวกเราหลงทางขับรถเลยบ้านและถามหาบ้านของเธอจากชาวบ้านก็ไม่มีใครรู้จักชื่อของเธอ แต่พวกเราก็พยายามไปเรื่อย ๆ จนมาพบลุงแก่ ๆ ใส่เสื้อม่อฮ่อมสีเทา และกางเกงขาสั้น บนศีรษะโพกด้วยผ้าขาวม้า นั่งเลี้ยงวัวอยู่ข้างทาง พวกเราจึงถามลุงถึงชื่อของเธอ ลุงตอบว่า“ ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย” พวกเราจึงถามถึงชื่อสามีของเธอ ลุงร้อง“ อ๋อ ”และชี้ไปตามทางลูกรัง ฉันคิดในใจว่า “ทำไม่ถึงต้องเหนื่อยขนาดนี้” ซึ่งงานที่รับผิดชอบเป็นงานในห้องคลอดอย่างเดียว แต่ต้องมาขับรถไกลขนาดนี้ แต่เมื่อฉันคิดถึงเธอ ซึ่งเป็นคนไข้ที่เขามีแผลแยก” ฉันรู้สึกอยากไปพบเธอทันที ฉันตัดสินใจขับรถไปตามทางที่ลุงชี้ให้ ซึ่งเป็นถนนลูกรังสีแดง ข้าง ๆ ทางมีแต่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งใบเหลือง บางต้นก็มีแต่ตอ เราจึงขับรถไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2 – 3 กิโลเมตรก็พบบ้านไม้ 2 ชั้น ใต้ถุนสูงตั้งอยู่หลังเดียวโดด ๆ เธอเดินเข้ามาหายิ้มรับพร้อมกับยกมือไหว้ฉัน ฉันยกมือไหว้ เธอยิ้มอีก และถามว่า “วันนี้หมอมาทำอะไร” ฉันจึงตอบว่า “มาเยี่ยมดูว่าสบายดีหรือเปล่า แผลติดดีหรือยัง” เธอยิ้มรับและบอกว่า “ ดีขึ้นกว่าเดิม ปวดท้องน้อยลง ฉันเดินได้คล่องตัวขึ้น ” ฉันจึงตรวจดูแผลของเธอก็พบว่าแผลไม่มีกลิ่นเหม็น และฝีเย็บเริ่มชนกันบ้างแล้ว และทำความสะอาดแผลให้เธอและถามกลับถึงวิธีการดูแลแผลอีกครั้งเธอตอบได้ถูกต้อง ขณะพูดแววตาเธอสดใสยิ้มรับและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตะวันเริ่มลับฟ้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฉันจึงลากลับด้วยความภาคภูมิใจ
หลังจากนั้นฉันได้พบเธออีกครั้ง เธอเดินอุ้มลูกน้อยมาคลินิกพัฒนาการเด็กด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาทัก และบอกว่า “ ขอบคุณหมอมากนะแผลฉันหายดีแล้ว ขอบคุณที่แนะนำและให้การช่วยเหลือฉันมาตลอดจนแผลหาย” ฉันไม่คิดเลยว่า สิ่งที่ฉันทำ จะทำให้หญิงคนหนึ่งมีรอยยิ้มที่แจ่มใสโดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนใด ๆ
ไม่มีความเห็น