ครั้งหนึ่งในชีวิต


ครั้งหนึ่งในชีวิต

ขณะที่ฉันและครอบครัวกำลังนอนหลับกันอย่างสบาย  นั่นก็มีเสียงนาฬิกาปลุกดังก้องเข้ามากระทบในความรู้สึกของฉัน  ตี  5  แล้ว  ฉันต้องตื่นนอนขึ้นมาเพื่อมาเตรียมอาหารให้กับลูก    รับประทานก่อนไปโรงเรียน  และก็เตรียมทำกิจวัตรประจำวันเพื่อเตรียมตัวขึ้นเวรเช้าที่โรงพยาบาล  ฉันต้องเตรียมตัวออกจากบ้านประมาณ  7  โมงเช้า  เพื่อให้ทันรับเวรช่วงเวลา  7.30  น.

                วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมาพอมาถึงโรงพยาบาล  ฉันก็เซ็นชื่อขึ้นปฏิบัติงานที่หน้า OPD แล้วก็เตรียมตัวเข้าไปรับเวรเช้าที่ห้องคลอด  โดยมีหัวหน้างานห้องคลอดมาสื่อสารงานคุณภาพให้กับฉัน  และเพื่อนร่วมงานฟังทุกเช้า  ตั้งแต่เวลา  7.30  -  8.00  น.

                ภายในห้องกระจกสี่เหลี่ยม  มีเคาเตอร์สำหรับทำงาน  มีเก้าอี้สำหรับนั่งรับเวร  ขณะที่ฉันและเพื่อนร่วมงานกำลังเตรียมตัวรับเวร  ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ฉันลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์  พยาบาลงานอุบัติเหตุฉุกเฉินเป็นคนโทรมาบอก  มีรับใหม่  ท้อง  2  มีน้ำเดิน  ออกมารับผู้ป่วยด้วย  ฉันนึกในใจว่า  แม้วันนี้งานเข้าแต่เช้าเลยเรา  หลังจากรับโทรศัพท์เสร็จฉันก็ออกไปรับผู้คลอดที่ห้อง ER  ก็พบผู้หญิงสาวผมยาว  รูปร่างค่อนข้างอ้วน  ท้องใหญ่  สีหน้าไม่ยิ้มแย้ม  ขมวดคิ้วชนกัน  เอามือลูบหน้าท้องไว้กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น  ฉันเห็นสีหน้าของเธอ  ฉันก็รู้เลยว่าเธอกำลังมีอาการเจ็บครรภ์  ฉันยิ้มและทักทายกับเธอด้วยท่าทางที่เป็นมิตร  เพื่อให้เธอคลายความวิตกกังวลลง  หนูมีอาการเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ  เธอมองหน้าฉันและบอกกับฉันว่าเธอมีอาการเจ็บครรภ์  และมีน้ำอะไรก็ไม่รู้ไหลออกมาทางช่องคลอดชุ่มไปหมด  พอฉันทราบอาการของเธอและพบว่าอายุครรภ์ของเธอครบกำหนด  ฉันก็ปฏิบัติตามแนวทางการรับใหม่ของงานห้องคลอดเพื่อเป็นการ Early diction  ภาวการณ์ตกเลือดด้วยการเจาะ Hct stat ฉันเตรียมอุปกรณ์ในการเจาะ Hct  เสร็จ  ฉันก็บอกกับเธอว่า  พี่ขออนุญาตเจาะเลือดที่ปลายนิ้วของหนูหน่อยนะ  เพื่อดูความเข้มข้นเลือดของหนู  เพราะถ้าความเข้มข้นเลือดของหนูน้อยกว่า  30%  ทางโรงพยาบาลต้องส่งหนูไปคลอดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อให้หนูและลูกปลอดภัย  เธอพยักหน้ารับ  ฉันจึงเจาะเลือดให้เธอพบว่า Hct stat = 41%  ฉันรู้สึกโล่งใจที่เธอไม่มีภาวะซีด

                หลังจากนั้นฉันจึงเรียกคนงานให้เข็นผู้ป่วยของฉันเข้าไปในห้องคลอดเพื่อไปตรวจร่างกายและซักประวัติ  พอซักประวัติฉันจึงทราบชื่อเล่นของหญิงรอคลอดว่าเธอชื่อ  น้องยุ้ย  น้องยุ้ยอายุ  19  ปี  ตั้งครรภ์ที่  2  ครรภ์แรกเธอบอกว่าแท้ง  ฉันตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด  2 cm.  แล้ว  ฉันบอกญาติของเธอให้ทราบ  ซึ่งประกอบไปด้วยสามีและแม่ของเธอ  ต้องนอนรอคลอดที่นี่  เตรียมของใช้ของทารกมาได้เลย  และอนุญาตให้ญาติเฝ้าในห้องรอคลอดได้  1  คน  ฉันให้ข้อมูลกับยุ้ยและญาติของเธอ  ขณะที่ฉันกำลังทำchart ประวัติของยุ้ย  ฉันได้ถามยุ้ยว่า  ครรภ์แรกที่ว่าแท้งนั้นได้ขูดมดลูกหรือเปล่า  ยุ้ยบอกว่าเธอไม่ได้แท้ง แต่เธอท้องนอกมดลูก  ฉันจึงถามเธอไปว่าแล้วยุ้ยตัดปีกมดลูกข้างไหน  หมอบอกว่าคลอดได้หรือเปล่า  ยุ้ยเปลี่ยนสีหน้า  คิ้วชนกัน  แสดงท่าทางกำลังครุ่นคิด  แล้วเธอก็ตอบว่าหนูจำไม่ได้จ๊ะ  ต้องถามญาติของเธอ  ฉันจึงหันไปถามสามีของยุ้ย  ขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาในห้องรอคลอด  ด้วยคำถามเดิม

                แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดมาจนได้  สามีของยุ้ยบอกฉันว่า  นี่ภรรยาของผมตั้งท้องแรกนะหมอ  ไม่ใช่ท้องที่  2  ผมไม่เห็นรู้เลยว่าท้องนอกมดลูก  ฉันหันไปสบตากับพี่รองหัวหน้าห้องคลอดที่นั่งช่วยฉันทำ chart รับใหม่โดยอัตโนมัติ  ในใจของฉันคิดว่า  ทำไมยุ้ยไม่บอกฉันก่อนว่าสามีของเธอไม่รู้ว่าเธอเคยตั้งครรภ์มาก่อน  แล้วฉันจะทำอย่างไรดีละ  ถ้าสามีของยุ้ยเกิดความไม่พอใจขึ้นมาจนต้องเกิดปัญหาขึ้นมาในครอบครัวของเธอ  ทั้ง    ที่ครอบครัวของเธอกำลังจะมีความสุขที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เห็นหน้าลูกของเธอ  สามีของยุ้ยได้ถามยุ้ยว่า  ยุ้ยไปท้องกับใครมา  ทำไมพี่ไม่รู้  ทำไมยุ้ยไม่บอกพี่  พร้อมกับเปิดประตูไปนั่งข้างนอกห้องคลอด

                ยุ้ยนั่งก้มหน้า  น้ำตาคลอเบ้า  เม้มฝีปากเข้าหากัน  โดยไม่ยอมสบตากับใคร  ฉันคิดว่า  ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในครอบครัวของยุ้ย

                ฉันหันไปปรึกษากับพี่รองหัวหน้าห้องคลอดทันที  ฉันและพี่รองหัวหน้าห้องคลอดจึงตกลงกันว่า  น่าจะให้ยุ้ยและสามีได้คุยเปิดใจกัน  โดยมีแม่ของยุ้ยต้องรับรู้ด้วย  ฉันจึงเรียกแม่ของยุ้ยเข้ามาคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แม่ของยุ้ยบอกว่า  เธอทราบเรื่องการตั้งครรภ์ของยุ้ยดี  แม่ของยุ้ยเล่าให้ฟังว่า  ตอนที่ยุ้ยกำลังเรียนหนังสือยู่นั้น  ยุ้ยโดนล่วงละเมิดทางเพศจนเธอตั้งครรภ์ขึ้นมา  แต่โชคดีที่เธอตั้งครรภ์นอกมดลูก  ไม่ต้องคลอดลูกออกมาโดยไม่มีพ่อ  แม่ของยุ้ยจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด  เพื่อครอบครัวของยุ้ยจะได้ไม่เกิดความอับอาย

                พอฉันได้ฟังเรื่องขอยุ้ยก็นึกสงสารเธอขึ้นมาทันที  ฉันจึงถามแม่ของยุ้ยและตัวของยุ้ยว่าเธอจะทำอย่างไรกับสามีของเธอ  แม่ของยุ้ยบอกว่า  เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้ลูกเขยฉันฟังเอง  และฉันก็รับปากกับยุ้ยว่าฉันจะช่วยพูดให้สามีของยุ้ยเข้าใจอีกคนหนึ่ง  เมื่อตกลงกันได้แล้ว  ฉันจึงออกไปเรียกสามีของยุ้ยเข้ามา  เพื่อมาเคลียร์เรื่องการตั้งครรภ์แรกของยุ้ย  โดยมีฉันและแม่ของยุ้ย  ช่วยกันพูดให้สามีของยุ้ยเข้าใจในตัวยุ้ย

                จากเหตุการณ์ที่ตึงเครียดก็กลับมาสู่เหตุการณ์ที่คลี่คลาย  เมื่อสามีของยุ้ยไม่โกรธยุ้ย  เขากลับเข้าไปดูแลยุ้ยและปลอบโยนยุ้ยว่าไม่ต้องกังวลใจ  เขาจะดูแลยุ้ยและลูกเป็นอย่างดี  ให้ยุ้ยลืมเรื่องในอดีตให้หมด  ยุ้ยและสามีสวมกอดกันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือเกิน

                เมื่อเวลาผ่านไปยุ้ยเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ถี่ขึ้นเรื่อย    เธอนอนกระสับกระส่าย  ดิ้นไปมาบนเตียง  ร้องครางเป็นช่วง    นิ้วมือของยุ้ยหยิกเกร็งไว้ที่เตียงรอคลอด  เหงื่อแตกเต็มหน้าฉันจึงตรวจภายในพบปากมดลูกเปิด  6  ซม. แล้ว  ฉันให้ยุ้ยงดน้ำและอาหาร  และให้ IV fluid ตามแนวทางของงานห้องคลอด  และฉันก็ช่วยนวดหลังบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ยุ้ย  โดยการทำสุคนธบำบัด  ทำโดยการนวดบริเวณหลัง  และเปิดอโรมามีกลิ่นหอมต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ยุ้ยสดชื่นขึ้นและทุเลาอาการเจ็บครรภ์พร้อมกับสอนญาติของยุ้ยให้ช่วยนวดหลังให้ยุ้ย  เพื่อให้ยุ้ยรู้สึกอบอุ่นใจว่ามีญาติอยู่ใกล้    เธอตลอด

                เวลาผ่านไป  2  ชั่วโมงเศษ  ยุ้ยบอกว่าเธอมีลมเบ่ง  อย่างเบ่งมาก  ฉันตรวจภายในพบปากมดลูกเปิดหมด  ฉันจึงเอารถเข็นย้ายยุ้ยเข้าไปคลอดในห้องคลอด  โดยที่ให้ญาติรอที่ห้องรอคลอดก่อน  หลังจากนั้นก็เริ่มเชียร์เบ่งกันอย่างคึกคัก  ยุ้ยคลอดปกติ  เวลา  11.52  น.  ได้ลูกเพศชาย  น้ำหนัก  3,440  กรัม  ตัวแดงจ้ำม่ำ  พอยุ้ยคลอดรกเสร็จฉันก็เตรียมเย็บแผลพบว่าแผลฝีเย็บของยุ้ยบวม  มี Tear vagina wall ฉันจึงเย็บแผลฝีเย็บของยุ้ยนานหน่อย  ซึ่งถ้าแผลฝีเย็บบวมทางโรงพยาบาลของฉันก็มีแนวทางการให้ยา Antibiotic และยาลดบวมทันทีเพื่อป้องกันการเกิดการติดเชื้อที่แผลฝีเย็บ

                พอครบ  2  ชั่วโมงหลังคลอด  ฉันจึงย้ายยุ้ยกับลูกของยุ้ยออกมานอนที่ห้องรอคลอดพร้อมกับเจาะ Hct ซ้ำ  2  ชั่วโมงหลังคลอด  แต่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นอีก  เมื่อพบว่า Hct ลดลงจากเดิม 41% เป็น  33%  โดยที่ยุ้ยมีอาการอ่อนเพลีย  แต่ไม่มีอาการมืดหน้า  ตาลาย  ใจสั่น  มดลูกหดรัดตัวดี BP = 100/70  mmHg P= 90/min  ฉันจึงรายงานแพทย์รับทราบว่ายุ้ยเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด  แพทย์จึงให้ IV  fluid ต่อ  และเจาะ Hct ซ้ำอีก  2  ชั่วโมง  พบว่า Hct ของยุ้ยลดลงเหลือ   30.50% ฉันจึงปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันภาวะ shock จากการตกเลือดหลังคลอด  โดยการให้ IV fluid เป็น 0.9% NSS 1,000 cc IV dmp และ5% D/N/2 1,000  cc. + synto  10 ū IV drip  พร้อมกับรายงานแพทย์รับทราบ  แพทย์ตรวจเยี่ยมอาการจึงจำเป็นต้องส่งตัวยุ้ยไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อไปพบแพทย์เฉพาะทาง  ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตกเลือดหลังคลอด  แพทย์และฉันได้อธิบายสาเหตุที่ต้องส่งตัวยุ้ยไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดจนเป็นที่เข้าใจ  ยุ้ยและลูกได้รับการส่งตัวไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดโดยรถของโรงพยาบาลและพยาบาลด้วยความปลอดภัย  หลังจากนั้นฉันได้โทรศัพท์ไปถามยุ้ย  เธอบอกว่าได้รับเลือด 3 ū  เธอและลูกปลอดภัยดี  ยุ้ยได้ขอบคุณฉันที่ช่วยดูและเธอเป็นอย่างดี  7  วันต่อมาฉันได้นัดยุ้ยและลูกของเธอมาที่โรงพยาบาล  เพื่อมาดูแผลฝีเย็บและดูสะดือทารก  ยุ้ยและสามีของเธอพร้อมกับลูกก็มาตรวจตามนัด  ซึ่งทั้งยุ้ยและสามีมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  โดยที่สามีของยุ้ยเป็นอุ้มลูกของเธอมาในห้องคลอดเอง  พอฉันได้ตรวจแผลฝีเย็บของยุ้ยพบว่าแผลติดดี  ไม่มีแยก  สะดือลูกของยุ้ยก็แห้งดี  ไม่มี discharge ฉันให้คำแนะนำยุ้ยและสามีเรื่องการปฏิบัติตัว  และการเลี้ยงดูทารกจนเป็นที่เข้าใจยุ้ยแลสามีของเธอยกมือไหว้ขอบคุณฉัน  ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  และมีความสุขกับการเลี้ยงดูลูกของเธอ  และก็ลาฉันกลับบ้านไป

                จะเห็นได้ว่าการดูแลผู้ป่วยสักหนึ่งคนนั้น  บางครั้งไม่ใช่แค่จะดูแลอาการทางกายอย่างเดียว  บางครั้งก็อาจมีอาการทางจิตใจ  บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกขณะ  แต่ถ้าบุคลากรทางการแพทย์มีความห่วงใย  ใส่ใจ  มีทีมงานที่ดีในการดูแลผู้ป่วย  ปัญหาต่าง     ที่เกิดขึ้นนั้นก็สามารถหมดไปได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้ป่วย

หมายเลขบันทึก: 280756เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2009 17:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 22:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • สวัสดีค่ะ  ชื่นชมการทำงานของคุณมากค่ะ  พยายามอ่านมากค่ะตัวหนังสือเล็กทีเดียว แต่เนื้อหากลับตรงกันข้าม
  • เล่าเรื่องราวได้ดีมากเชียวค่ะ  บรรยายความรู้สึกของผู้ป่วยและสามีผู้ป่วยจนอดน้ำตาคลอตามเขาไม่ได้
  • ชื่นชมอีกครั้งค่ะ จะติดตามอ่านบทความของคุณนะคะ
  • อิอิ ถ้าตัวใหญ่สักนิดคงสุดยอดเลยค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท