ชีวิตที่เหลืออยู่ของป้าสิน


ชีวิตที่เหลืออยู่ของป้าสิน

         "ตามรถไปส่งป้าสินกลับบ้านด้วยนะ  แพทย์ให้กลับบ้านแล้ว"

          เสียงพูดที่คุ้นหู ซึ่งได้ยินอยู่เป็นประจำในขณะที่ป้าสินมานอนโรงพยาบาล

         ป้าสิน หญิงชรา วัย 78 ปี รูปร่างเล็ก ผอมบาง ผมขาวที่เหมาะสมกับวัย ดวงตามีน้ำหล่อรื้นคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา ป้าสินป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง แต่ละครั้งที่มานอนโรงพยาบาลจะมาด้วยอาการหอบเหนื่อยเป็นประจำ และที่ทีมงานสังเกตเห็นได้ ป้าสินจะมานอนโรงพยาบาลเพียงลำพังไม่มีญาติมาดูแลเอาใจใส่เหมือนผู้ป่วยคนอื่น ทางทีมงานต้องจัดให้ป้าสินนอนอยู่เตียงที่สามารถสังเกตอาการได้ง่าย เตรียมพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือป้าสินได้ตลอดเวลา  และด้วยความห่วงใย ทีมงานได้ฝากให้ญาติผู้ป่วยคนอื่นที่มานอนอยู่ข้างเตียงป้าสิน ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนพยาบาลในยามที่มีภาระงานมาก ช่วยดูแลป้าสินอีกแรงหนึ่ง เมื่อน้องพยาบาลสอบถามถึงบุคคลทางบ้าน ป้าสินจะเงียบพักใหญ่ บอกว่าไม่มีใครดูแล ทำให้ทีมงานไม่สามารถวางแผนจำหน่ายป้าสินได้ครบถ้วน ข้อมูลที่ให้ไปทั้งหมดป้าสินจะหลงลืม ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ จนทำให้แต่ละครั้งของการนอนโรงพยาบาลของป้าสินยาวนานเกินกว่าผู้ป่วยคนอื่น  และเมื่ออาการเจ็บป่วยของป้าสินทุเลา แพทย์จะจำหน่ายป้าสินกลับบ้านทันที เพื่อเตรียมเตียงสำหรับรับผู้ป่วยคนใหม่ที่ดูจะมากขึ้นทุกวัน จนเตียงไม่พอที่จะรับผู้ป่วย

         หลังจากแพทย์จำหน่ายป้าสินกลับบ้าน สิ่งที่ยังค้างคาใจฉันอยู่ตลอดเวลา ที่ทำให้ฉันต้องครุ่นคิดถึงชีวิตของป้าสินว่า  ป้าสินจะมาอีกเมื่อไหร่ ป้าสินอยู่กับใคร  ที่บ้านใครจะดูแลป้าสิน ข้อมูลที่บอกป้าสินไปล่ะ จะจำได้หรือเปล่า จะปฏิบัติถูกต้องหรือไม่  คำถามเหล่านี้พรั่งพรูเข้ามาในความคิดของฉัน   โดยที่ไม่รอช้าหลังจากป้าสินกลับบ้านได้ 1 วัน ฉันได้ให้น้องพยาบาลเวรดึกหยิบยกเรื่องราวของป้าสินมาเข้ากระบวนการทบทวน C3THER  เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาของป้าสิน   ซึ่งอาจจะพบอีกถ้าไม่รีบดำเนินการแก้ไข ทีมงานผู้ป่วยในได้นึกถึงทีมดูแลผู้ป่วยขึ้นมาทันทีเพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของป้าสินตามลำพังได้ จึงได้นำเรื่องของป้าสินไปปรึกษา ทีมดูแลผู้ป่วย  โดยทีมดูแลผู้ป่วยลงความเห็นว่า ต้องลงเยี่ยมบ้านป้าสินเพื่อตามรอยโรคไปถึงชุมชน ฉันและน้องในตึกผู้ป่วยใน อาสาไปด้วยทันทีด้วยความอยากรู้ว่าเวลาป้าสินอยู่บ้านจะอยู่อย่างไร เราทีมงานจะช่วยเหลืออะไรป้าสินได้บ้าง

                รถเยี่ยมบ้านออกจากโรงพยาบาลเวลา 13.00 น. พร้อมทีมดูแลผู้ป่วยแบบสหสาขาวิชาชีพ เพื่อเยี่ยมผู้ป่วยที่มีปัญหาซับซ้อน  บ้านของป้าสินเป็นบ้านสุดท้ายที่ทีมดูแลผู้ป่วยไปเยี่ยม ในวันนี้ พนักงานขับรถหนึ่งในทีมงานรู้จักบ้านของป้าสินเป็นอย่างดี เนื่องจากต้องมาส่งป้าสินเวลาแพทย์จำหน่ายกลับบ้านเป็นประจำ บ้านของป้าสินเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง จัดข้าวของไว้เป็นที่เป็นทาง ใต้ถุนบ้านพบป้าสินกำลังเอนกายนอนพักอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่  เมื่อได้ยินเสียงรถป้าสินค่อยๆยันกายลุกนั่งอย่างลำบาก สีหน้าแสดงความอ่อนล้า สายตาเพ่งมองมาที่ทีมงาน ทีมงานกล่าวทักทายและสวัสดีป้าสิน ฉันเดินเข้าไปจับมือป้าสินนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณบ้าน ป้าสินนั่งอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่มีที่นอนหมอนมุ้ง พับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สอบถามป้าสิน ป้าสินจะนอนพักบนโต๊ะนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะขึ้นบ้านไม่ไหว มุมโต๊ะมีถุงยาขนาดใหญ่ มียารักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และยาแก้ปวดปนเปกันไป บางซองก็มีแต่ซองเปล่า "ไม่มีใครไปเอายาให้หรือจ๊ะ " "  ยาหมดแล้วล่ะหมอ  ฉันไม่มีรถไปเอายา ไม่มีใครพาไป พรุ่งนี้ก็ไม่มียากินแล้ว"    ป้าสินบอกกล่าวให้ทีมงานทราบ ฉันพยักหน้ารับรู้   ในเวลานั้นฉันเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคน ร่างท้วม ผิวขาว พร้อมกับเด็กหญิงวัย 4  และ 5 ขวบ 2 คน กำลังเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมยกมือไหว้สวัสดีทีมงาน และฉันเพิ่งสังเกตไปเห็นที่โต๊ะขนาดใหญ่อีก 1 ตัว พร้อมที่นอน หมอน มุ้ง สำหรับครอบครัวอีก 1 ชุด หญิงวัยกลางคนนั่งลงพร้อมเด็กน้อยสายตามองที่ทีมงาน  ฉันพยักหน้าให้ทีมงาน อีก 1 คน เดินเข้าไปสอบถามข้อมูลจากหญิงวัยกลางคน พร้อมถามป้าสินต่อ  "แล้วป้าอาศัยอยู่กับใครล่ะ"  ป้าสินตอบช้า ๆ  "ฉันอาศัยอยู่กับหลานสามี ก็คนที่เพิ่งเดินเข้าไปในบ้านพร้อมเด็กน่ะแหล่ะ เขาก็ไม่มีเวลาจะดูแลสักเท่าไหร่ ต้องทำมาหากิน หาเลี้ยงปากท้อง ลูกฉันก็ไปอยู่ไกล นาน ๆ จะมาเยี่ยมสักที"  ในขณะที่พูดถึงลูก ป้าสินน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกับเอ่ยปากว่าคิดถึงลูก สอบถามได้ความว่า  ป้าสินมีลูกอยู่คนเดียว  แต่งงานมีครอบครัวแล้วอาศัยอยู่กับภรรยา นาน ๆ จะมาเยี่ยมป้าสินสักที ทำให้ป้าหมดหวังท้อถอยกับชีวิต ทีมงานได้แต่มองหน้ากัน พร้อมกับให้กำลังใจป้าสิน ปลอบประโลมว่าขอให้ป้าสินทำใจให้สบาย ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ทีมงานได้ให้คำแนะนำไว้   เรื่องยาที่หมดทีมงานรับปากว่าจะจัดยาให้ป้าสิน หลังจากกลับไปโรงพยาบาล โดยนัดแนะให้หลานสามีตามไปเอายาให้ป้าสินในวันนั้นทันที

                เมื่อได้เวลาอันสมควรทีมงานจึงได้กล่าวลาป้าสินเพื่อให้ป้าสินได้พักผ่อน  ป้าสินยกมือของฉันแนบแก้มเหี่ยวๆของแก พร้อมขอบคุณที่ทีมงานที่ยังนึกถึงป้าสิน  ฉันสัญญาว่าจะไปเยี่ยมป้าสินอีก ในครั้งต่อไป ป้าสินพยักหน้า และมองตามรถของทีมงานจนลับสายตา

                หลังจากกลับจากเยี่ยมป้าสินที่บ้าน ทีมดูแลผู้ป่วยได้ประชุมวางแผนการดูแลป้าสินทันที เราได้ข้อมูล บางอย่างจากน้องทีมงานที่ไปสอบถามข้อมูลจากหลานสามีป้าสิน ที่เราทีมงานไม่เคยทราบมาก่อน ป้าสินเป็นคนมีอันจะกิน หลังจากสามีเสียชีวิต ได้ยกสมบัติส่วนหนึ่งให้ลูกไป หลังจากยกสมบัติให้ลูกแล้ว  ลูกไม่มาเยี่ยมเยียน ทำให้ท้อแท้ขาดกำลังใจ ไม่ไว้วางใจคนที่อาศัยอยู่ด้วย มักจะทำกิจธุระต่าง ๆ ด้วยตนเอง หุงหาอาหารไปโรงพยาบาลโดยไม่บอกกล่าวคนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่หลานที่อยู่ด้วยก็คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ทำให้ป้าสินเกิดอาการของโรคกำเริบบ่อย ๆ   ความคิดแวบหนึ่งเข้ามาในใจฉันทันที เราต้องรีบแก้ปัญหานี้โดยด่วนไม่งั้นป้าสินคงอยู่อย่างเป็นทุกข์ ทั้งจิตใจที่เป็นทุกข์ ร่างกายสังขารที่ไม่แข็งแรง  ต้องทำให้ป้าสินเวียนเข้า เวียนออกโรงพยาบาลอย่างแน่นอน

              อีก 2 วัน ต่อมาฉันจึงชวนทีมดูแลผู้ป่วยไปเยี่ยมป้าสินอีกครั้ง เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาให้ครอบครัวป้าสิน คราวนี้ก่อนไป ฉันโทรศัพท์ไปนัดล่วงหน้ากับหลานสาวป้าสินทราบชื่อภายหลังว่า "ชุ่ม" เพื่อพูดคุยปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

              "ชุ่มพอจะช่วยดูแลป้าสินแกได้บ้างไหมล่ะ" ฉันถามพร้อมมองหน้าชุ่ม

              "หมอจะให้ช่วยดูแลอย่างไร หมอบอกมาเถอะ ฉันเต็มใจ ฉันสงสารแกเหมือนกัน" ชุ่มตอบ

             "  เวลาอากาศเย็น ชุ่มช่วยดูแลให้แกห่มผ้า ใส่เสื้อผ้าหนา  จะได้ไม่เกิดอาการกำเริบของโรคได้   หมอมีเสื้อมาฝากป้าสินแกหนึ่งตัวเป็นเสื้อกั๊กผ้าขนหนูเอาไว้ใส่ เวลาอากาศเย็นนะจ๊ะ"ฉันพูดพร้อมกับยื่นเสื้อให้ชุ่มและป้าสิน

               ชุ่มคลี่เสื้อทาบกับลำตัวของป้าสิน   "  พอดีตัวของป้าเลย  "   ชุ่มและป้าสินยิ้มอย่างปิติ

           "   ฉันจะตัดเพิ่มให้ป้าอีกหนึ่งตัว เอาไว้ใส่ผลัดเปลี่ยนกัน   "   ชุ่มบอก

           "   ช่วยดูแลให้แกฝึกหายใจบริหารปอดได้ด้วยยิ่งดี หายใจเข้า หายใจออกเป่าขวดน้ำวัน 2 ครั้ง จะทำให้อาการของแกดีขึ้นมากน่ะ"   นักกายภาพเสริม

           "  ฉันจะช่วยดูแลให้ป้าแกทำน่ะจ๊ะหมอ  "      ชุ่มตอบรับคำเสียงดัง   

           " แล้วเรื่องยาชุ่มช่วยดูแกด้วย ให้กินยา  พ่นยาตามเวลา เวลายาหมด ชุ่มไปรับยาแทนแกก็ได้

ที่ตึกผู้ป่วยนอก ไปได้ไหมจ๊ะ  "      ฉันถามพร้อมมองชุ่ม  ชุ่มพยักหน้ารับคำ   " จ๊ะ"  

           "   ชุ่มพอจะมีเบอร์โทรลูกป้าสิน บ้างไหมล่ะ โทรให้เข้ามาเยี่ยมแกจะทำให้มีกำลังใจต่อสู้มากขึ้นนะ" ฉันบอกชุ่ม

          "   ฉันไม่มีเบอร์โทรหรอก แต่ฉันสามารถไปหาเขาได้ ฉันรู้จักบ้านของเขาพรุ่งนี้ฉันจะชวนสามีฉันไปเลย "  ชุ่มตอบพร้อมหันไปมองป้าสินที่สีหน้าเริ่มมีรอยยิ้ม เมื่อพูดถึงลูกหลังจากพูดคุยกับป้าสินและชุ่มอยู่นานเกือบชั่วโมง ทีมงานจึงได้กล่าวลาป้าสินและชุ่ม และสัญญาว่าจะไปเยี่ยมเยียนป้าสินและชุ่มอีก

                หนึ่ง อาทิตย์ต่อมา ฉันและทีมงานได้ติดตามเยี่ยมบ้านป้าสินอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมและให้กำลังใจป้าสินและชุ่ม ให้คำแนะนำเพิ่มเติมในส่วนที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง และสิ่งหนึ่งที่เราพบคือ สีหน้าของป้าสินซึ่งมีรอยยิ้มผุดอยู่ที่มุมปาก สอบถามทราบว่า ลูกได้มาเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจกับป้าสิน และบอกว่าจะมาหาป้าสินบ่อย ๆ ทำให้ป้าสินมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้กับชีวิต พร้อมกับสัญญาจะปฏิบัติตัวตามคำแนะนำที่ทีมงานแนะนำ จากวันนั้นเป็นต้นมา ป้าสินก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ที่บ้าน มาตรวจตามนัด  ไม่กลับมานอนโรงพยาบาลด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอีกเลย

            บทเรียนที่ได้รับในครั้งนี้ทำให้ทีมงานทราบว่าการที่เราใส่ใจในอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย หาสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมานอนโรงพยาบาลหาผู้ดูแลตัวจริงดูแลผู้ป่วยตามวิถีชีวิตของผู้ป่วยแล้วก็สามารถทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุขได้

หมายเลขบันทึก: 280972เขียนเมื่อ 28 กรกฎาคม 2009 14:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท