วันนี้เป็นอีก วันหนึ่งที่เราต้องอยู่เวรนอดเวลา(16.30-21.00) ตอนแรกก็ไม่อยากอยู่เพราะอยากกลับบ้านเป็นห่วงแม่และลูกสาว แต่มันเป็นเวรนอกเวลาที่ต้องช่วยกันเนื่องจากมีผู้รับบริการที่เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัด2009 ทางโรงพยาบาลจึงเปิดให้บริการตรวจเฉพาะโรคในระบบทางเดินหายใจแยกออกจากคลินิกนอกเวลาที่ให้บริการอยู่แล้วเนื่องจากเป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ป่วยแผนกอื่นๆ
โรงพยาบาลของเราเปิดให้บริการผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ(คลินิก URI) ได้ ประมาณ 1 เดือนแล้ว ปริมาณผู้ป่วยไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงเลย การบริการจะเป็นแบบ one stop service พยาบาลต้องทำหัตการ/กิจกรรมการพยาบาลด้วย เช่น การเจาะเลือด ให้IV พ่นยา ฯลฯ ผู้ป้วยมายื่นบัตรและรับยากลับ้านที่จุดเดียวโดย ดูแล้วผู้ป่วยก็ชอบเพราะไม่ต้องเดินหลายที่เพื่อติดต่อแผนกอื่นๆ แต่ต้องใช้เวลาในการรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและ X-Ray ค่อนข้างนานเหมือนกัน
วันนี้มีผู้ป่วยชาย อายุ 21 ปี มาด้วยอาการไข้สูง เจ็บคอ ไม่ไอ 1 วัน วัดไข้เด้ 38.5 องศา ปฏิเสธโรคประจำตัว ขณะรอพบแพทย์ก็ยังมีอาการหนาว เราเดินไปให้ Para 2 tab และบอกว่า เดี๋ยวก็ได้ตรวจแล้ว ผู้ป่วยกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นมิตร เมื่อตรวจกับแพทย์ แพทย์ให้เจาะ CBC ผู้ป่วยเดินถือใบเจาะเลือดมาหาเราแล้วบอกเราว่า หมอให้เจาะเลือดครับ เราหันไปหาผู้ป่วยและบอกให้ผู้ป่วยเดินไปรอหน้าห้องปฏิบัติการพยาบาล เราก็สงสัยว่าทำไมสีหน้าผู้ป่วยดูกังวล สีหน้าและท่าทางไม่เหมือนกับตอนที่เราให้ยาเมื่อกี้เลย สงสัยว่าจะกลัวการเจาะเลือด เราเดินตามผู้ป่วยมาติดๆ เมื่อถึงโต๊ะที่ใช้ในการเจาะเลือด เราเตรียม อุปกรณ์ การเจาะเลือด เขียนชื่อ- นามสกุลผู้ป่วย ติดTubeเจาะเลือดเรียบร้อย สีหน้าผู้ป่วยเริ่มแสดงความกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อเรารัดแขนผู้ป่วยและเตรียมจะแทงเข็ม
เราถามผู้ป่วยว่า กลัวเหรอ
ผู้ป่วยตอบว่า เปล่าครับ
เราถามผู้ป่วยว่าทำไมดูกังวลจังเลย
ผู้ป่วยตอบว่า เปล่าครับ
เราก็ยังคิดว่าผู้ป่วยกลัวอยู่นั่นแหละเลยให้กำลังใจผู้ป่วยว่า เจ็บนิดเดียวเอง ลูกผู้ชายของแค่นี้ จิ๊บๆ
ผู้ป่วยทำท่าเหมือนยากจะบอกอะไรกับเรา เราสังเกตได้จาก สีหน้าและท่าทางที่ดูกังวล แต่คงจะไม่กล้าบอก เราเลยหยุดการแทงเข็มลงบนแขนของผู้ป่วยและถามผู้ป่วยว่า มีอะไรให้พี่ช่วย บอกได้ ถ้าพี่ช่วยได้ก็ยินดี คำตอบที่ได้ก็คือ เปล่าครับ เหมือนเดิม
เราเลยตัดสินใจที่จะแทงเข็มอีกครั้งบอกให้ผู้ป่วยวางแขนลงบนหมอนเจาะเลือด พอเราจะแทงเข็ม ผู้ป่วยชักแขนหนี เราก็ยังคิดว่าผู้ป่วยกลัวอยู่นั่นแหละ เราบอกผู้ป่วยว่า ไม่ต้องกลัวหรอกไม่ให้เจาะแล้วแพทย์จะรักษาคุณได้อย่างไร และบอกให้ผู้ป่วยวางแขนลงบนหมอนรองแขนเจาะเลือด อีกครั้ง
ผู้ป่วยทำสีหน้าเหมือนกับการตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้วบอกเราว่า พี่ครับใส่ถุงมือด้วย ผมเป็นเอดส์