เริ่มด้วยการหาจุดคานงัด ที่มีผู้ใหญ่บางคนมองว่า
การสร้างการยกระดับจิตวิญญาณเชิงลึก
น่าจะใช้กลไกด้านสาธารณะสุขเป็นจุดคานงัด
เหล่าองค์กรที่ทำงานอาสาสมัครเลยต้องมาตีโจทย์กันว่า
เราจะระดมอาสาสมัครเข้าไปสนับสนุนการดำเนินงานทางการแพทย์ของหมอและพยาบาลได้อย่างไร
ผมเคยได้ยินว่า มีศิลปินชาวออสเตรเลีย ที่ไปจัด Gallary ภาพในโรงพยาบาล และ มีนักแสดงตลกเข้าไปจัดกิจกรรมกับหวอดผู้ป่วยเด็กที่เจ็บป่วยเรื้อรัง สร้างเสียงหัวเราะและความสุข ในเมืองไทย ก็เคยมีคนเล่นดนตรีไทยอาสาเข้าไปเล่นดนตรีในโรงพยาบาลเพื่อบรรเลงให้กับคนไข้และญาติผู้ป่วยได้รู้สึกผ่อนคลาย
การทำให้โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยและความเจ็บป่วย มีสีสัน และ ความสุข เป็นประเด็นท้าทาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ หากมีอาสาสมัครจากภายนอกเข้าไปช่วยกันในการสร้างสรรค์กิจกรรม
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่ผมคิดจะทำละครที่เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ผมใช้เวลาสัปดาห์ละหนึ่งวัน ไปทำกิจกรรมในตึกผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่ รพ บำราศนาดูร สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นคือการจัดชั้นหนังสือที่ให้ผู้ป่วยได้มาหยิบอ่าน หยิบดู ทีแรกพยายามหาหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ แต่ปรากฏว่าหนังสือที่คนไข้อยากอ่านคือ หนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ซึ่งต่อมาผมพยายามจัดหาไปไว้ในชั้นหนังสือนั้น ช่วงว่างผมได้มีโอกาสคุยกับคนไข้ สิ่งที่สัมผัสคือ พวกเขาไม่ว่าจะสิ้นหวัง หรือ เจ็บป่วยอย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นมนุษย์ และ ความเป็นมนุษย์คือการได้รับการสื่อสารและยอมรับในฐานะคนเหมือนกัน เขาต้องการเพื่อน คววามหวัง ความสุข แม้แต่เสียหัวเราะยามเจ็บป่วย
ผมมีความสุขขึ้นมาเล็ก ๆ ในวันนี้ที่คิดว่า จะได้เริ่มงานเช่นนี้ขึ้นอีกครั้ง และ เชื่อว่าคราวนี้ผมจะทำได้ดีกว่าที่เคยทำไว้เมื่อหลายปีก่อน
งานอาสาสมัครเป็นงานที่มีเสน่ห์ คนอาสามักจะจิตใจดี แต่การทำงานของอาสาสมัครมักจะเป็นเรื่องของมือใหม่ แต่ในวันนี้ ประเทศไทยเริ่มมีคนอาสามืออาชีพ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปมังนะคะ ดีขึ้นนะ ใช่ไหม