“สวัสดีค่ะหมอ” ฉันหันหน้ามาทุกครั้งที่ได้ยินเสียง เป็นเสียงที่มาจากพี่เล็ก หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมองเศร้า ที่ทำความสะอาดในโรงพยาบาล “สวัสดีจ้า” ฉันตอบพร้อมยกมือรับไหว้ “วันนี้มาสายละซิ เอาถูเข้าเดี๋ยวโนดุอีกหรอก” ฉันพูดพลันเดินห่างจากไป พี่เล็กเป็นลูกจ้างของบริษัทKM. ที่บริษัทส่งมา ทุกเช้าพี่เล็กจะทำความสะอาดตั้งแต่ 06.00 น. ถูพื้นตึกชั้นล่างทั้งหมด ล้างห้องน้ำ เช็ดกระจก เก็บขยะ และก็อีกหลายอย่างที่เขาเรียกว่า ทำตั้งแต่สากะเบือยันเรือรบ กว่าจะเสร็จงานกลับบ้านก็เกือบ 17.00 น. วันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์นอกจากจะไม่ได้นอนอตื่นสาย นั่งดูทีวีแล้ว พี่เล็กยังต้องทำนาที่มีอยู่ไม่กี่แปลงนา ถ้าหากไม่ทำก็จะมีข้างเอาไว้หุงกิน แต่ใครจะรู้บ้างว่านี้แหละเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นส่วนที่มากอยู่ที่ทำให้พี่เล็กมีรายได้เป็นเงินไม่กี่บาทมาจุนเจือครอบครัวเมื่อเทียบกับความเป็นอยู่ของเธอ พี่เล็กแต่งงานมีครอบครัวแล้วอาศัยอยู่บ้านเดียวกับพ่อ เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น หลังขนาดเล็ก ๆ มีลูกสาว 1 คน ลูกชาย 1 คน ซึ่งมีอายุราว 7-9 ขวบ เมื่อก่อนพี่เล็กทำงานรับจ้างทำความสะอาดที่กรุงเทพมหานคร แต่เมื่อพ่อที่เป็นเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกทับเส้นที่จะช่วยตนเองได้ก็น้อยเสียเต็มที พี่เล็กก็ต้องกลับบ้านมาดูแล พี่เล็กเคยบอกว่าพ่อไม่ยอมไปอยู่กับพี่น้องคนอื่น ๆ เพราะเป็นห่วงบ้านหลังเล็กนี้ที่พี่เล็กจำได้ว่ามันไม่เคยจะใหญ่โตขึ้นหรือใหม่ขึ้น มันดูแต่จะเก่าแก่ลงตามวัยของพ่อ ส่วนสามีของพี่เล็กก็ทำงานรับจ้างได้เงินมาซื้อเหล้าดื่ม และใช้จ่ายส่วนตัวมากกว่าจะมาช่วยเหลือครอบครัว ส่วนพี่น้องเดียวกับพี่เล็กก็ไปอยู่ต่างจังหวัด 1 ครั้งต่อเดือนถึงจะกลับมาหาพ่อ พี่เล็กเคยพูดกับใครหลายคนว่าไม่มีเงินซื้อกับข้าว ไม่มีเงินให้ลูกกินขนม ไปโรงเรียน ไม่มีเงินจ้างรถประจำรับ-ส่งลูก และบางเดือนไม่มีเงินจ้างรถพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลทั่วไป จนบางครั้งก็มีผิดนัด “พ่อ...วันนี้ปวดหลังหรือปวดท้องละยาก็ไม่มีกินแล้ว เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ” พี่เล็กต้องพยุงพ่อขึ้นท้ายรถมอร์เตอร์ไซด์คันเดิม ที่สตาร์ทติดบ้างไม่ติดบ้าง ดวงไฟทั้งหน้าและหลังขอรถก็ไม่มี ครั้งจะพาพ่อกลับมารักษาโรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่เมื่อฉีดยาอาการปวดทุเลา ก็พากลับบ้านไปจนเป็นความเคยชิน จะมาตอนกลางคืนไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นถนนหนทาง ถ้าปวดกลางคืนก็ต้องกนิยาที่มีอยู่ก่อนและทนรอถึงเช้า พ่อก็เรียกพี่เล็กทั้งคืน บางคืนก็ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน พี่เล็กบอกกับฉันว่า “บางครั้งฉันเองก็รำคาญพ่อเหมือนกัน เบื่อหน่ายกับการเจ็บป่วยของพ่อ เกรงใจหมอ ไม่อยากพามา แต่เขาเป็นพ่อ เขาปวด เขาเจ็บก็ต้องพามา” พี่เล็กพูดไปน้ำตาคลอ เบ้าดวงตาแดงเรื่อ ๆ ฉันเอื้อมมือจับที่บ่าข้างหนึ่งของพี่เล็กและตบเบา ๆ น้ำตาไหลออกจากสองข้างตา “คนเราเจ็บป่วยก็ต้องช่วยเหลือกัน รักษาจนอาการทุเลาหรือหายเจ็บป่วยนั้นแหละ” “ฉันก็ไม่อยากจะคิดอะไรมากแล้ว เรามันจน ก็ต้องอยู่แบบจน ๆ แต่ฉันก็ไม่จนน้ำใจนะ” พี่เล็กพูดพลางจับมือฉัน “ขอบคุณนะหมอ วันหน้าถ้าไม่รังเกียจไปเที่ยวที่บ้านบ้างซิ อยู่แค่นี้เอง ไปกินข้าวที่บ้านก็ได้ แต่ไม่มีกับข้าวอะไรหรอกนะ นอกจากไข่” “ได้เลย แล้วจะไป ไข่ก็กินได้ เพราะหมอเองก็กินทุกวัน” ฉันตอบพร้อมยิ้มรับคำชวน วันหนึ่งพี่เล็กเคยถามฉันว่า “หมอ มีงานอะไรให้ทำบ้างไหม อยากมีเงิน เงินที่ได้อยู่ก็มีไม่พอเดือน” ฉันเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน “ถ้ามีแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำ งานที่ทำอยู่ก็มีวันหยุดแค่วันเดียว” “ทำได้ วันเดียวก็ทำได้ ดีกว่าไม่มีเงินใช้” พี่เล็กพูดกับฉันแต่มือก็ยังเช็ดกระจกวน ๆ อยู่ “ถ้าเช่นนั้นพี่เล็กลองไปสมัครที่แรงงานจังหวัดดูซิ บางทีเขาอาจจะมีงานอะไรให้ทำเป็นรายได้เสริมก็ได้” พี่เล็กหยุดมือจากการเช็ดกระจก “ถ้ายังงั้นจะต้องลองไป อาจจะมีงานเพิ่ม เงินเพิ่ม อีกทางเลือกหนึ่ง” พี่เล็กส่งยิ้มให้ฉัน “ขอบคุณนะที่บอก” ฉันเองคงจะช่วยเหลืออะไรพี่เล็กไม่ได้มาก และก็ไม่รู้ว่าพี่เล็กจะไปแรงงานจังหวัดหรือไม่ แต่ก็คาดหวังว่า พี่เล็กจะมีที่จะดีขึ้นถ้าพี่เล็กมีรายได้เพิ่มขึ้น พี่เล็กยินดีอย่างมากหากจะมีสองมือและหนึ่งดวงใจของผู้บริจาคสิ่งของที่เหลือใช้ให้กับเธอและครอบครัวกลับสอนให้ฉันรู้ว่าการเป็นคนดีในสายตาผู้ที่เดือดร้อนกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ เครื่องมืออะไรมากมาย แต่ในทางกลับกันเพียงแต่เตาช่วยให้เขาเหล่านั้นคลายจากทุกข์ในช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิต โดยการเป็นผู้ฟังที่ดี ก็จะช่วยทำให้เขารู้สึกดีได้ไม่ต้องใช้คำพูดที่ไม่ต้องหวานเกินใจแต่ใช้ใจสัมผัสอย่างแท้จริง ในที่ทำงานแห่งนี้คงต้องมีนางฟ้าเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนที่ทุกข์ทั้งทางกายและใจอีกมากมาย
ไม่มีความเห็น