ใจดวงหนึ่ง สู้เพื่อใจ อีก สองดวง


ใจดวงหนึ่ง สู้เพื่อใจ อีก สองดวง

                  เป็นเวลานานมากแล้วสิน๊ะ ที่ฉัน ! ได้เข้ามาทำงาน ณ รพ. บ้านลาดแห่งนี้ ปฏิบัติงานในงานผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุ บอกได้เลยว่า ทุกๆวัน และเวลา ของการทำงาน มิได้มีความสุขสบายอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ มีแต่ความเหน็ดเหนื่อย  มีปัญหามากมาย ไม่เว้นแต่ละวัน วันใดที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง เปิดแอร์ ไม่ได้ จากเหตุผลใดใด ก็ตาม ทุกคนจะเห็นเหงื่อเม็ดโต ๆ กระจายทั่วเกือบทุกอณูขุมขน  แต่ทำไมฉันถึงไม่ท้อถอย ทำไมถึงทนที่จะทำ ทำไมฉันไม่ขอเปลี่ยนงาน บอกว่าฉันเหนื่อย ฉันทำไม่ไหวแล้ว  ฉันมีคำตอบเพียงคำตอบเดียว คือ ฉันทำงานด้วยใจรัก   เรามีใจรักที่จะทำงานด้านนี้ ที่งานอุบัติเหตุฉุกเฉินแห่งนี้

                 ทุก    วันที่ฉันมาทำงาน จะได้พบเห็นผู้รับบริการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาใช้บริการห้องฉุกเฉิน ด้วยอาการหนักบ้าง เบาบ้าง  เบาแต่ทำเป็นเหมือนหนักก็มี  บางคนเป็นลูกค้าขาประจำ ฉันก็จะมีความสนิทสนมคุ้นเคย  บางชีวิตก็ดับสิ้นไปด้วยเหตุผลของอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง บางคนก็มีความพิการที่ต้องกลับมาฟื้นฟูรักษา บางคนอาการเจ็บป่วยหายเป็นปกติใจก็เป็นสุขเวลาพาผู้อื่นมาตรวจก็จะมาพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บางคนมีสีหน้าที่เป็นทุกข์ ดวงตาแสดงออกถึงความท้อแท้และสิ้นหวัง  ซึ่งฉันต้องการให้ทุกคนลุกขึ้นมาสู้อย่างมีความหวัง

                  ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว     ปลาย่อมว่ายทวนน้ำเสมอ   ปลาที่ลอยตามน้ำก็มีแต่ปลาตาย  มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุปสรรค เหมือนปลาว่ายทวนน้ำ  ผู้ที่ปล่อยชะตาไปตามเหตุการณ์ ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว ทุกชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหามีมาให้แก้ ไม่ใช่มีมาให้กลัดกลุ้ม การแก้ปัญหาเป็นหน้าที่ของชีวิต เฉพาะคนสู้ชีวิตจึงสมควรมีชีวิตอยู่ ดั่งเช่นเรื่องราว ที่ฉันจะเก็บมาเล่าให้ทุกคนฟัง เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆ เพราะเจ้าของเหตุการณ์มีขอบเขตของบ้านติดกับรั้ว รพ. เขาคนนั้นก็คือ ป้าจีบ ผู้ที่พวกเรารู้จักกันดี เป็นเวลานับสิบปี ป้าจีบหญิงชรา วัย 73 ปี แยกทางกับสามี มีบุตรทั้งหมด 6 คน บุตร 4 คนแรก มีครอบครัว ไปทำมาหากินอยู่ที่อื่น สามีที่แยกทางกันได้เสียชีวิตไปเมื่อประมาณ 3 ปี ก่อน  ป้าจีบ อาศัยอยู่ในบ้านไม้ทรงไทยใต้ถุนสูง  ซึ่งบริเวณบ้านมีความสะอาด ร่มรื่น น่าอยู่อาศัย  อยู่กับบุตรชายและบุตรสาว ซึ่งบุตรทั้ง 2 คนนี้ มีภาวะป่วยทางจิตประเภทจิตเภท (Schizophrenia) ต้องรับการรักษากับจิตแพทย์บุตรสาวมียารับประทานเป็นประจำ  ส่วนบุตรชาย ต้องใช้ยาฉีดร่วมด้วย ถ้าขาดยาก็จะมีอาการคลุ้มคลั่ง อาละวาด จะทำร้ายร่างกายแม่ และน้องสาว ซึ่งน้องสาวจะกลัวพี่ชายมาก เนื่องจากเคยถูกทำร้าย   บุตรชายคือ จำลอง    ส่วนบุตรสาวคือ จันทร  ในยามปกติ 2 พี่น้องจะมีพาหนะประจำกายเป็นรถจักรยานคนละ 1 คัน จำลอง จะถีบรถจักรยาน โดยมี ป้าจีบ นั่งซ้อนท้ายไปทำนา ไปหาผักมาขาย  ป้าจีบจะหาบผักไปขายในตลาดเพชรบุรีเป็นประจำ ขายของไป หยุดคุยไปเรื่อยๆ บางครั้ง ฉันยังเคยซื้อผักของป้าจีบจากตลาด ในบางวัน จำลองจะไปนั่งดื่มสุรากับชาวบ้าน เมื่อกลับมาบ้านก็เอะอะโวยวาย จะทำร้ายแม่ และน้องสาว  ป้าจีบ และจันทรก็จะต้องคอยแอบ  บางครั้งในยามค่ำคืน ดึกๆดื่นๆ เราจะเห็น ป้าจีบ และ จันทร มายืนหลบในเงามืด บริเวณต้นกร่างใน รพ. หรือบางครั้งก็มานอน บริเวณม้านั่งด้านข้างตึก กายภาพบำบัด เมื่อจำลองหายเมา อาการก็เป็นปกติ เป็นคนที่รักแม่มาก ในแต่ละเดือน ป้าจีบจะพา จำลอง มาที่ ER เพื่อให้ฉีดยา บางครั้งยังไม่ครบกำหนดก็จะมาบอกให้ฉีดยาก่อน เพราะว่าจำลอง มีอาการผิดปกติป้าจีบจะคอยสังเกตอาการของจำลอง มาตลอด  ซึ่งยานี้ ป้าจีบจะเป็นผู้ไปรับยามาจาก จิตแพทย์ รพ.ทั่วไป  วนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายปี  จวบจนกระทั่ง วันที่  7 มีนาคม พ.ศ. 2552 ป้าจีบ มีอาการปวดตึงบริเวณต้นคอด้านซ้าย คลำพบก้อนขนาดประมาณ 5 ซม. กดแล้วรู้สึกเจ็บ มาตรวจรักษากับพยาบาลนอกเวลาราชการ จึงให้ยาบรรเทาอาการปวด นัดมาพบแพทย์ในวันรุ่งขึ้น  แพทย์ได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ทั่วไป  และได้ส่งต่อไปรักษาที่ รพ. ศิริราช โดยที่ป้าจีบเดินทางไป รพ. ศิริราชตามลำพังทั้งๆที่ตลอดชีวิต ไม่เคยเดินทางเข้ากรุงเทพ  ป้าจีบนั่งรถเมล์โดยสารประจำทาง ไปลงที่ สถานีขนส่งสายใต้ และสอบถามคนแถวนั้น จนกระทั่งไปถึง รพ.ศิริราช หวังแต่เพียงว่าจะได้รู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไร และต้องทำการรักษาอย่างไร  ครั้งแรก แพทย์ตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ และนัดไปฟังผลการตรวจ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สารพันปัญหาจึงเกิดขึ้นกับป้าจีบ ทั้งโรคที่ตนเองเป็น กับการตัดสินใจที่จะรักษาโดยการใช้เคมีบำบัด  การดูแล จำลอง และจันทร ซึ่งป้าจีบบอกว่าทั้ง 2 คนนี้ เขาไม่สมบูรณ์เหมือนคนปกติ ถ้าป้าจีบเป็นอะไรไป ใครจะเป็นผู้ดูแล และในทางกลับกันใครจะดูแลป้าจีบ เพราะฉะนั้น ป้าจีบบอกกับเราว่า ป้าจีบจะต้องรักษาตัวเองให้หาย  การเจ็บป่วยครั้งนี้ป้าจีบ ไม่บอกจำลองกับจันทรว่าตนเองป่วยเป็นอะไร  ทุกครั้งที่แพทย์นัดตรวจ ป้าจีบจะต้องคอยหนีลูกทั้งสองไปรักษา บอกว่าไปขายผักที่ตลาด  เนื่องจากทั้ง จำลอง และจันทร  กลัวว่าจะไม่มีใครดูแล และที่สำคัญกลัวว่าป้าจีบไปรักษา แล้วป้าจีบจะตาย  ทุกครั้งที่ป้าจีบมานั่งคุยกับฉัน ฉันจะเห็นน้ำตาที่เอ่อเกือบล้นดวงตาทั้ง 2 ข้าง  เราก็ได้แต่เฝ้าปลอบใจ และบอกให้ป้าจีบ สู้ๆ อาการของป้าจีบจะต้องดีขึ้น ถ้ามีปัญหาใดๆ ฉันพร้อมที่จะรับฟัง และแนะนำการปฏิบัติตัวเท่าที่พึงทำได้ นับตั้งแต่ 23 พ.ศ.2552 เป็นต้นมา ป้าจีบเดินทางไป รพ. ศีริราช เพื่อให้ เคมีบำบัด ตามที่แพทย์นัด และจะนำยา Neutromax 300 Ug  sc มาให้เราฉีด ครั้งละ 7 วัน  เมื่อให้เคมีบำบัดผมที่ศีรษะก็เริ่มร่วงหลุด ป้าจีบถึงแม้จะมีหัวใจที่แกร่ง พร้อมที่จะต่อสู้กับโรคร้าย แต่ภาพลักษณ์ที่เสียไปก็ไม่ต้องการให้ใครเห็นทุกครั้งที่มา รพ. ป้าจีบจะใช้ผ้าพันรอบศีรษะ และใส่หมวกงอบซึ่งเป็นหมวกสานปีกกว้าง และทุกครั้งที่มาก็จะยกมือไหว้ตลอด  สวัสดี จ๊ะ คุณหมอ วันนี้มารบกวนให้ฉีดยาอีกแล้ว  และจะบอกว่า  ต้องขอโทษด้วยน๊ะที่ใส่หมวกเข้ามา มันไม่สวย ไม่อยากให้ใครเห็น  

ฉันก็จะบอกว่า   ไม่เป็นไร หรอกป้า ใส่เข้ามาได้เลย แล้วหนูจะหาหมวกที่เป็นผ้ามาให้ใส่จะเอาหรือเปล่า  

ไม่เอาหรอก ฉันชอบแบบนี้ สวยดี ใส่มาจนชิน ตั้งแต่มีผม จนผมร่วง    เมื่อฉีดยาเสร็จ  ฉันก็จะสอบถามอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของป้าจีบ รวมทั้งสอบถามถึง จำลอง และ จันทร ด้วย ป้าจีบจะจับมือฉันบีบ แล้วพุดคุยเรื่องต่างๆอย่างอารมณ์ดี แต่มีท่าทางอ่อนเพลีย โดยที่ฉันสามารถสังเกตเห็นได้ หน้าที่พยายามยิ้ม แต่ดวงตา มีแวววิตกกังวล  เวลา ป้าจีบจะกลับฉันก็จะบอกว่า ป้าจีบต้องสู้น๊ะ  ป้าจีบ ก็จะพูดยิ้มๆว่า สู้ สู้  ทุกครั้ง และจะกล่าวขอบอก ขอบใจตลอด  บางครั้ง ป้าจีบไม่ได้มาฉีดยา ก็จะมาตรวจรักษา ด้วยอาการปวดท้องบ้าง เป็นไข้ ไอ บ้าง ทุกครั้งที่มาก็จะเล่าเรื่องการเดินทางไป รพ. ศิริราช และการรักษาที่ได้รับ บางครั้ง เมื่อไม่เห็นฉันนานๆ เมื่อมาเจอกัน ป้าจีบ จะต้องถามว่า หมอหายไปไหนมา นึกว่าย้ายหนีป้าจีบ ไปแล้ว  ใครจะมาบอกให้ป้าสู้ สู้ ล่ะ  ฉันก็บอกว่า ฉันไม่ได้หายไปไหนหรอก  ยังอยู่เป็นกำลังใจให้ป้าจีบ สู้ สู้ ซึ่งครั้งหลังๆ ป้าจีบค่อนข้างอ่อนเพลีย จะมีบุตรสาวที่แยกครอบครัวไปแล้วเป็นผู้พาไปที่ รพ. ศิริราช

                    ในเช้าวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ป้าจีบเดินทางไป รพ. ศิริราช เพื่อให้เคมีบำบัดครั้งที่ 5 โดยที่ไม่มีใครรู้ จำลอง ได้เดินมาที่ รพ. บ้านลาด มาถามพยาบาลด้วยความเป็นห่วงมารดาของตนเอง  เห็นแม่หรือเปล่า แม่หายไปไหนไม่รู้  พยาบาลก็บอกได้แต่เพียงว่าป้าจีบไม่ได้มา รพ. ป้าจีบอาจจะไปธุระ เมื่อเสร็จธุระ ป้าจีบก็คงจะกลับมาบ้านเองแหละ   ถึงแม้ว่าจำลอง จะมีอาการผิดปกติทางจิต แต่ความผูกพันที่อยู่กับมารดามาตลอด ฉันจะเห็นได้จากการที่เขาพยายามมาตามหา เมื่อไม่เห็นมารดาอยู่ที่บ้าน   หลังจากวันที่ 13 ส.ค. 2552 เป็นต้นมา อาการของป้าจีบก็ทรุดลง ป้าจีบรับประทานอาหารไม่ได้เลย คลื่นไส้ อาเจียนตลอด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หายใจเหนื่อย

 นอนอยู่ที่เตียงใต้ถุนบ้าน ไม่มีใครพามา รพ. จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2552 วันที่ รพ.ศิริราชนัดให้เคมีบำบัดครั้งที่ 6  แต่ป้าจีบไปไม่ไหวเสียแล้ว  เจ้าหน้าที่ PCU ได้ออกไปเยี่ยมบ้าน เห็นอาการป่วยของป้าจีบ จึงโทรแจ้ง 1669 เรียก EMS ออกรับ  ฉันได้ไปรับป้าจีบที่บ้าน พบว่าป้าจีบมีท่าทางอ่อนเพลียมาก ซูบผอม นอนบนเตียงที่ใต้ถุนบ้านขยับร่างกายไม่ไหว  เมื่อเห็นหน้า ป้าจีบบอกว่า ป้าสู้ไม่ไหวแล้ว สู้มาได้แค่ 5 ครั้ง เหลืออีก 3 ครั้ง ไม่ไหวแล้วจริงๆ  ฉันได้แต่พูดปลอบโยนด้วยความสงสาร เมื่อรักษาอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียนทุเลา ก็สามารถที่จะไปรับยาเคมีบำบัดได้อีก  ฉันพยายามที่จะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมารักษาที่ รพ. บ้านลาด โดยจะมี จำลอง คอยยืนมองในทุกๆอิริยาบถที่ฉันทำ เมื่อฉันพาป้าจีบ ขึ้นรถ จำลองเดินตามมาท้ายรถ บอกว่า พาไป รพ. บ้านลาดแค่นั้นน๊ะ ไม่ให้พาไป รพ. อื่น ฉันก็รับปากจำลอง  และบอกให้ จำลองอยู่บ้าน ดูแลบ้านให้ดี รอวันที่ ป้าจีบ หายกลับมา

                   ป้าจีบมารักษา รพ. บ้านลาด  ได้ 2 วัน พบว่ามีความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย ความดันโลหิตต่ำตลอด  แม้ให้ยาแล้ว ความดันโลหิตก็ยังไม่ปกติ รวมทั้งมีภาวะน้ำท่วมปอด จึงต้อง ส่งต่อ รพ.ทั่วไป  ก่อนที่จะส่งต่อป้าจีบไป รพ.ทั่วไป ฉันได้พบกับ จันทร  ซึ่งมีสีหน้า และแววตาที่แสดงความกังวลอย่างชัดเจน จันทร  บอกกับฉันว่า แม่อาการแย่กว่าเดิมอีก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (ไม่ใช่เครื่องช่วยหายใจ แต่เป็นการให้ออกซิเจน) ต้องให้ยาหลายขวด ต้องใส่สายสวนปัสสาวะด้วย แม่จะหายมั๊ย  ฉันไม่สามารถตอบได้ว่าจะหายหรือไม่หาย  แต่ทุกคนกำลังช่วยกันดูแลแม่ของจันทร เต็มความสามารถ เพื่อต้องการให้ ป้าจีบ ของเรากลับมาพูดคำว่า สู้ สู้ เราต้องสู้

                    ชีวิตของคนเราทุกคนก็เท่านี้  มีเกิด มีแก่  มีเจ็บ แล้วในที่สุดก็ตาย ไม่มีใครที่จะฝืนกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ เพียงแต่ว่าจะช้าหรือว่าเร็วแค่ไหน ฉันหวังเพียงว่า หญิงชราที่หัวใจแกร่ง สู้ชีวิต อย่างป้าจีบ จะรอดพ้นจากความเจ็บป่วยในครั้งนี้ เราจะเฝ้าติดตามและเป็นกำลังใจให้  เพราะยังมีดวงใจอีก2 ดวง ของป้าจีบ คือ จำลอง และจันทร ซึ่งมีความผูกพันอย่างหนียวแน่นอยู่ด้วยกันมาตลอด จะสุข หรือทุกข์อย่างไร แต่ทั้ง 3 คน ก็รัก และห่วงใยซึ่งกันและกัน  ฉันไม่อยากจะนึกว่า ถ้าป้าจีบสู้กับโรคร้ายไม่ได้ ต้องจากไป จำลอง และ จันทร จะมีชีวิตอยู่อย่างไร กับสภาพสังคมในปัจจุบัน

 

             ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ     ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา

เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ

บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก        เพราะนั่น..

 

คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ   เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน

 

ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น      ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน

 

 ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด

   ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ

 

 ก็ช่างนานแสนนาน  และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว

จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา    เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง

ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ

ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด  บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ

ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้

เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ

ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนร่วมงานของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว

แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง

ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป   แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ

 

ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้   แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ

 

แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้าง  และบางที

ก้านไม้ขีดไฟอันนี้ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต

เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน

ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า   ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลือ

 

อีกมากมายเหลือเฟือ    แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น

นานวันเข้า..นานวันเข้า   ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด

พอถึงวันนั้น..        คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจาก

 

จะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป...

              ขอขอบคุณ : องค์กรแห่งนี้ ที่ช่วยจุดประกายความคิดในการคิดทำแต่สิ่ง ดี ดี

หมายเลขบันทึก: 290849เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2009 12:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 17:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท