โรงพยาบาลของฉันเป็นโรงพยาบาลชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ฉันจบ และได้มาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และรู้สึกมีความสุขและเราภูมิใจที่ฉันได้มีโอกาสมาทำงานที่นี่ เพราะฉันได้เรียนรู้สิ่งดีๆ มากมายจากการทำงาน ฉันได้เรียนรู้ คำว่า “การให้และการเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันค่อยๆ เกิดขึ้นในใจฉันโดยไม่รู้ตัว
มีเรื่องน่ารักมากมายเกิดขึ้น และบุคคลสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ คงหนีไม่พ้น ท่านผู้อำนวยการของฉัน “นพ.สมพนธ์ นวรัตน์” นี้เป็นต้นแบบของการทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น ณ โรงพยาบาลแห่งนี้ เรื่องน่ารักๆ ของท่าน ที่มีต่อผู้ป่วยมีมากมาย จนทำให้ฉันยึดถือเป็นแบบอย่างในการทำงานตลอดมา
เรื่องเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นโทรศัพท์ที่โทรมาจากตึกผู้ป่วยใน “พี่จุ๋ม คนไข้ที่ admit เข้าไปเมื่อกี้ ที่ชื่อคุณประสิทธิ์ ตอนนี้กระชากสายน้ำเกลือออกแล้วบอกว่าจะกลับบ้าน พี่ช่วยตามหาให้หนูหน่อย หนูเห็นเดินออกมาทางด้านหน้าโรงพยาบาล” ฉันเหลือบไปดูนาฬิกา เวลาตอนนั้นประมาณสามทุ่มกว่า ๆ ฉันจึงหันไปบอกเพื่อนร่วมงานอีกสองคนในห้องฉุกเฉิน “ไปช่วยตามหาคนไข้กันเถอะ” “wardโทรมาบอกว่าคนไข้หนีจาก ward ออกมาทางด้านหน้าโรงพยาบาล” พูดจบพวกเราพยาบาลตัวเล็ก ๆ สามคน จึงเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ท่านผู้อำนวยการของพวกเราที่ชะเง้อมองหาคนไข้ ท่านจึงร้องถามว่า “มีอะไรกัน” ฉันจึงตอบท่านไปว่า “มีคนไข้จิตเวช ที่พวกเราพึ่งไปรับ EMS เพราะขาดยาจาก รพ.พระมงกุฎมา ประมาณสองอาทิตย์ พึ่ง admit เข้า ward ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตอนนั้นคนไข้กระชากสายน้ำเกลือและหนีออกมาจากใน ward ค่ะ” เมื่อผู้อำนวยการได้ยินดังนั้นท่านจึงพูดว่า “ไป...เราไปดูกัน” ท่านเดินนำหน้า พวกเราพยาบาลสามคนรวมแพทย์เวรจบใหม่ที่เป็นแพทย์ผู้หญิงอีก หนึ่งคน เดินตามหลังท่านผู้อำนวยการออกไปทางหน้าตึก
ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงผอมนั่งคล่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์ กำลังตะโกนเอะอะโวยวาย และใกล้ ๆ มีลุงวัยชรายืนมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความวิตกกังวล ผู้อำนวยการและพวกเราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ๆ ลุงคนนั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ฉันจึงจำได้ว่า ผู้ชายที่กำลังมีอาการทางจิตเวชนี้ชื่อ “ประสิทธิ์” ซึ่งประสิทธิ์นี้จะพาลูกสาวตัวเล็ก ๆ วัยประมาณ เจ็ดแปดขวบ มาตรวจที่ ER เป็นประจำ ประสิทธิ์จะคอยถามอยู่ตลอดเกี่ยวกับการดูแลลูกสาว ฉันยังรู้สึกชื่นชมประสิทธิ์ว่าเป็นคุณพ่อที่น่ารักเสียจริงๆ เพราะรักและห่วงใยลูกสาวเป็นอย่างมาก ฉันไม่เคยรู้เลยว่าประสิทธิ์เป็นผู้ป่วยจิตเวช จนกระทั่งวันนี้ เกิดอะไรกับประสิทธิ์ พวกเราจึงเดินเข้าไปถามลุงที่ยืนมองประสิทธิ์อยู่ คุณลุงบอกว่า ลุงเป็นพ่อของประสิทธิ์เลิกกับภรรยามาหลายปีแล้ว เขาดูแลและเลี้ยงลูกสาวสองคนแต่เพียงลำพัง จากการที่มีปัญหาครอบครัว ทำให้เครียดและมีอาการทางจิตเวชและได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเป็นประจำ จนมีอาการดีมาโดยตลอดจนกระทั่ง 2 อาทิตย์หลัง ลุงไม่สบาย จึงยังไม่ได้พาประสิทธิ์ไปรับยาตามนัดจนทำให้ขาดยา เริ่มมีอาการตาขวาง เดินไปเดินมา พูดคุยไม่รู้เรื่องบางครั้ง ก็หยิบอาวุธเช่นมีดขึ้นมาถือ ลุงกำลังจะพาประสิทธิ์ไปรับยาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎพรุ่งนี้ ได้นัดรถและตำรวจไว้แล้ว แต่ประสิทธิ์ก็มีอาการมากขึ้น จึงต้องเรียกรถพยาบาลไปรับมาจากบ้าน เมื่อเย็นวานพอฟังเรื่องราวทั้งหมด ผู้อำนวยการและพวกเราจึงเดินเข้าไปหาประสิทธิ์ และได้พยายามพูดคุยเพื่อให้ประสิทธิ์รับประทานยา ผู้อำนวยการถามว่า “คิดถึงลูกสาวไหมถ้าคิดถึงลูกให้ทานยานะ ลูกๆเป็นห่วง” แต่ประสิทธิ์ไม่รับรู้กับคำพูดของพวกเราและบอกให้พวกเราหยุดพูด “stop stop ข้าจะนั่งสมาธิ” และเอามือประสานกันทำท่านั่งสมาธิอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์ บางครั้งก็ยกมือชี้ขึ้นบนท้องฟ้าและพูดว่า “ข้าเป็นใครรู้ไหม...เป็นเพื่อนของราชินีนะ อย่ามายุ่งกับข้า”
เมื่อเห็นว่าอาการประสิทธิ์ดูท่าจะไม่สงบลงได้ ผู้อำนวยการแพทย์เวรจึงปรึกษากันว่าต้องใช้ยาฉีด จึงสั่งให้ฉันไปเตรียมยาฉีด และค่อย ๆ ถือแอบมาไม่ให้ประสิทธิ์เห็น เวลานั้นผู้อำนวยการจึงหันไปมองรอบๆ พบว่าบริเวณนั้นมีแต่เจ้าหน้าที่ผู้หญิง เพราะโรงพยาบาลของเราเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก นอกเวลาจึงมักจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ไม่กี่คน และส่วนมากจะมีแต่เจ้าหน้าที่ผู้หญิง ผู้อำนวยการมองแล้วอมยิ้ม ซึ่งฉันคิดว่าผู้อำนวยการคิดแล้วว่าสงสัยหน้าที่ยึดคนไข้ให้ยอมฉีดยาต้องเป็นหน้าที่ของท่านแน่ ท่านเดินเข้าไปใกล้ประสิทธิ์อีกครั้งและชวนประสิทธิ์พูดคุยไปเรื่อยๆ เพื่อรอจังหวะที่ประสิทธิ์เผลอ และเมื่อสบโอกาสสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นคุณหมอหรือแพทย์ท่านใดทำมาก่อน คือ ท่านผู้อำนวยการที่มีรูปร่างอ้วนป้อมได้กระโดดเข้าไปประชิดตัวประสิทธิ์ เอาตัวของท่านกดทับตัวคุณประสิทธิ์ไว้บนรถมอเตอร์ไซด์และเรียกให้พวกเรารวมทั้งแพทย์เวรที่เป็นผู้หญิงให้เข้าไปช่วยจับแขนและขาเอาไว้พร้อมตะโกนบอกฉันว่า “เฮ้ย! ยึดอยู่แล้ว ฉีดยาได้เลย” ซึ่งการฉีดยาครั้งนี้เป็นการฉีดยาครั้งแรกในชีวิตพยาบาลของฉันที่ตื่นเต้นและทุลักทุเลน่าดู Hadol 5mg mที่สะโพก และ valium 10 mg v ที่หลังมือ สามารถฉีดให้ประสิทธิ์ได้สำเร็จ สักครู่หนึ่งหลังฉีดยา ฉันสังเกตเห็นประสิทธิ์สงบลงในอ้อมกอดของผู้อำนวยการ บนรถมอเตอร์ไซด์ เป็นภาพที่ฉันรู้สึกประทับใจและชื่นชมกับความกล้าหาญและความเสียสละของท่านผู้อำนวยการเป็นอย่างยิ่งในวินาทีที่ท่านเข้าประชิดคนไข้นั้นท่านไม่ได้รู้สึกว่าท่านจะได้รับอันตรายหากคนไข้ต่อสู้หรือขัดขืน และในเวลานี้ท่านยืนโอบกอดประสิทธิ์ไว้เหมือนพ่อโอบกอดลูก ช่างเป็นภาพที่ฉันประทับใจจริงๆ และเมื่อประสิทธิ์มีอาการสงบลง พวกเราจึงช่วยกันยกตัวประสิทธิ์ขึ้นนอนบนเปลนอนและเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ผู้อำนวยการบอกกับพ่อของประสิทธิ์ว่า “ให้นอนโรงพยาบาลก่อนเช้าค่อยมารับไปโรงพยาบาลพระมงกุฎ” แต่คุณลุงกลับบอกว่า “เป็นห่วงหลานเล็ก ๆลูกของประสิทธิ์อีก 2 คน ที่เป็นเด็กผู้หญิงอยู่กันตามลำพัง จึงอยากจะพาประสิทธิ์กลับบ้าน ”
เมื่อผู้อำนวยการรับรู้จึงไปปรึกษากับแพทย์เวรว่ายาฉีดที่ฉีดไปสามารถออกกฤทธิ์อยู่ถึงเช้าได้หรือไม่แพทย์เวรบอกว่าอาจไม่ถึงเช้า จึงให้ฉีด Hadol 5mg เพิ่มอีก 1 เข็ม ทางสะโพกและคิดว่ายาน่าจะอยู่ได้ถึงเช้า หลังจากฉีดยาไปคุณประสิทธิ์เริ่มพูดคุยรู้เรื่องขึ้น ผู้อำนวยการจึงให้รถ Ambulance พร้อมพยาบาลไปส่งประสิทธิ์ที่บ้าน เพื่อพรุ่งนี้พ่อของประสิทธิ์จะได้พาประสิทธิ์ไปรักษาที่กรุงเทพฯ ให้อาการดีขึ้นและสามารถมีชิวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ และกลับมาดูแลลูกสาวทั้งสองได้เหมือนเดิม และถ้าได้ยาอะไรมาก็ให้นำตัวยามาให้รพ.บ้านลาดดู ถ้าที่รพ.มี ก็ให้มารับยาต่อที่โรงพยาบาลจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถไปกรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อพ่อของประสิทธิ์ฟังสิ่งที่ท่านผู้อำนวยการบอก สีหน้าของคุณลุงดูสดชื่นขึ้น และมีรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้า คุณลุงยกมือไหว้ขอบคุณผู้อำนวยการและพวกเราทุกคน “ขอบคุณ พวกคุณหมอทุกคนที่ช่วยเหลือลุงและลูก ขอบคุณจริงๆ” คุณลุงน้ำตาคลอเบ้าพูดด้วยความตื้นตันใจและเมื่อนำประสิทธิ์ขึ้นรถ Ambulance ผู้อำนวยการยังได้ไปยืนแอบดูประสิทธิ์ทางกระจกข้างรถ พร้อมพูดว่า “สบายแล้ว หลับนิ่มเลย อยู่ได้ถึงเช้า” แล้วเดินอมยิ้มออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข พลอยทำให้พวกเราทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขตามไปด้วย
จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันไม่คาดคิดว่า ผู้ชายตัวเล็กๆวัยห้าสิบกว่าๆ และเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะกล้าเสียสละและทำในสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึง สิ่งที่ท่านได้ทำ สอนให้ฉันเข้าใจว่า “การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร” และหลังจากนั้นเป็นต้นมาทุกครั้งที่ฉันได้ให้การดูแลผู้ป่วย ฉันรู้สึกว่าฉันต้องให้การดูแลผู้ป่วยที่ดี ตามแบบอย่างที่ท่านผู้อำนวยการได้ทำเป็นตัวอย่างไว้ และฉันยกย่องให้ท่านเป็น “สุดยอด...ผู้อำนวยการ” และเป็นแบบอย่างสำหรับฉันในการทำความดีตลอดไป
ไม่มีความเห็น