“พี่คะ...เมื่อวานมีวัยรุ่นคลุ้มคลั่งโวยวายมาตอนเย็นแน่ะค่ะ ได้ข่าวว่ากินยาลดความอ้วนมาด้วยนะคะ ตอนนี้ส่งไปโรงพยาบาลทั่วไปแล้ว ” ฉันฟังน้องส่งเวรแล้วใจหาย เดี๋ยวนี้วัยรุ่นในชนบทเป็นเหยื่อค่านิยม ผอม ขาว หน้าใสแอ้บแบ๊วกันหมดแล้ว ฉันมองใบส่งเยี่ยมของน้องจากห้องฉุกเฉินแล้วก็สะท้อนใจ นานๆครั้งจะเจอคนไข้วัยรุ่น เจ็บป่วยทางจิตจากยาลดความอ้วนสักที ก็ช่วงนี้มีแต่รณรงค์คนไทยไร้พุงกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ว่าจะสถานีอนามัย อบต. โรงพยาบาล โรงเรียน องค์กรต่างๆ ต่างก็ถูกอบรมให้ลดพุงกันถ้วนหน้า คนอ้วนเลยรู้สึกว่าจะหาพื้นที่อยู่ลำบาก การลดความอ้วนนั้นมันไม่ง่ายอย่างที่คิด เส้นทางการลดน้ำหนักตามทฤษฎีที่เขาว่าเอาไว้มันช่างทำตามยากเหลือเกิน ไม่ให้งดอาหาร ให้รับประทานทุกมื้อ แต่ลดปริมาณลง เพิ่มอาหารพืชผักกากใย ลดอาหารมัน ของทอด ของหวาน แล้วก็ออกกำลังกาย ไม่เครียด ทำจิตใจให้สบาย ฉันรู้ว่าทุกคนก็สามารถพูดได้ว่าต้องทำอย่างไร แต่คนที่จะทำได้และยั่งยืนนั้น มันมีปัจจัยหลายอย่างทีเดียว ลำพังแค่จะลดอาหารมื้อเย็นนั่นก็ต้องใช้พลังใจอย่างมากมาย โถ...อุตส่าห์ทำงานมาทั้งวัน ทั้งหิวทั้งเหนื่อย จะพักกินโน่นนี่ให้มีความสุขก็ต้องมาลด เหนื่อยเพลียมาทั้งวันก็ต้องมาออกกำลังกาย จะออก เดิน ออกวิ่งก็กลัวหมาเห่า หมาไล่ จะไปเต้นแอโรบิคก็เต้นไม่ทันเขา จะขี่จักรยานก็กลัววัยรุ่นมันจี้เอา ไปที่ไกลๆเปลี่ยวๆก็ไม่ปลอดภัย ขี่ในหมู่บ้านกันก็จอแจ คนล้ออีกต่างหาก ฉันจึงเข้าใจทีเดียวว่ากว่าจะก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆเหล่านั้นมันเป็นหนทางยาวไกลทีเดียว แต่สำหรับน้องคนนี้เธอคงจะไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคแบบนั้นได้โดยตัวเอง เธอจึงต้องอาศัยยามาช่วย จนสุดท้ายก็ต้องรับผลจากการใช้ยาไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉันโทรติดตามน้องคนนี้ที่ชื่อ “แป๊ว” จนรู้ว่าเธอกลับบ้านมาได้สามวันแล้ว ฉันจึงตามไปเยี่ยม บ้านแป๊วนั้นเข้าข่ายผู้มีอันจะกินในละแวกนั้นทีเดียว บ้านทรงไทยหลังใหญ่ 3 หลังติดต่อกัน มีรถยนต์และรถเก๋งสภาพใหม่จอดอยู่หน้าบ้าน มีวัวราวๆยี่สิบสามสิบตัวในคอกข้างๆบ้าน ฉันก้าวไปที่ใต้ถุนบ้านหลังจากแนะนำตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แป๊วนั่งอยู่ตรงนั้นข้างๆเปลเด็ก เธอมองเด็กที่กำลังนอนหลับอยู่ในเปลสายตาดูเศร้าสร้อย เสียงเบาๆที่ฉันได้ยินจากปากของเธอคือ “ แม่จ๋า ขออุ้มน้องโดมหน่อย ” เธอพูดอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา นานๆครั้งถึงจะหันมามองฉันสักที แป๊วเป็นผู้หญิงสวยคมขำรูปร่างอวบเล็กน้อย ใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ไม่ถึงกับอ้วนอะไรมากมาย ฉันจึงสงสัยว่าทำไมเธอถึงต้องกินยาลดความอ้วนด้วย พ่อกับแม่ของเธอเล่าให้ฟังว่า แป๊วไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลทั่วไป สามสี่วันหลังจากที่มีอาการคลุ้มคลั่งไม่รู้ตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน แป๊วไม่กินยาที่จิตแพทย์สั่งมาเลย เธอบอกทุกคนที่บ้านว่าหายแล้วไม่ได้เป็นอะไร กลางคืนก็ไม่นอน เอาแต่ร้องไห้ขออุ้มน้องโดมซึ่งเป็นลูกชาย อายุ 9 เดือนหน้าตาน่ารัก พ่อกับแม่ของแป๊วไม่กล้าให้เธอเลี้ยงลูก เนื่องจากมีครั้งหนึ่งน้องโดมร้องงอแง แป๊วก็จับลูกเขย่าร้องกรี๊ดๆไปด้วยจนลูกแทบจะหลุดจากมือลงมา หลังจากนั้นแป๊วก็แทบไม่ได้รับอนุญาตให้จับตัวลูกอีกเลย ตอนนี้อาการที่ฉันเห็นคือ พอฉันเริ่มจะทักทายพูดคุย แป๊วก็เดินหนีออกไปนอกบ้าน จากนั้นก็ไปคว้าเศษไม้เก่าๆ บอกว่าเป็นหนังวัวแดงของศักดิ์สิทธิ์ และห้ามฉันเข้าใกล้ พ่อกับแม่ของเธอต้องเดินตามจับตัวกลับมานั่งในบ้าน จากนั้นเธอก็ผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลาที่เราคุยกัน พ่อกับแม่แป๊วบอกว่าอยากจะบ้าตายไปเสีย รู้สึกอับอายชาวบ้านเหลือเกินที่ลูกสาวมามีอาการแบบนี้ และที่สำคัญเขาไม่เชื่อว่ามันเกิดจากยาลดความอ้วนที่กินมา 5 ปี แม่แป๊วบอกว่าเป็นคนพาลูกสาวไปคลินิกหมอในตลาดเอง เนื่องจากมีคนแนะนำว่ามียาลดความอ้วนขาย ทั้งแม่และแป๊วก็ไปใช้บริการคลินิกพร้อมๆกันทั้งเรื่องของยารักษาหน้าขาวและยาลดความอ้วน
“ คนอื่นไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลยหมอ ฉันว่ามันคงเคราะห์ร้าย ถูกของ ถูกทำ ถูกทักแน่ๆ ไอ้ยาลดความอ้วนก็กินมาตั้งนานไม่เห็นเป็นอะไร แต่นี่ก็เพิ่งเลิกกิน นี่พ่อเด็กก็ว่าจะไปติดต่อหมอ สะเดาะเคราะห์ที่ต่างจังหวัดสักหน่อย เผื่อจะดีขึ้น เห็นเขาลือกันว่าเก่ง ”
ฉันนั่งฟังแม่แป๊วพูดอย่างไม่ออกวามเห็น อะไรก็ได้ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวสำหรับคนไข้และครอบครัวในยามนี้ที่ไม่รู้จะทำอย่างไร การรู้สึกว่า ถูกทำ ถูกทัก จากสิ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้นั้นมันต้องรู้สึกดีกว่ามีประวัติว่าเป็นบ้าแน่ๆ สังคมไทยเรายังเชื่ออย่างนั้น ฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนความเชื่อของเขาหรอก เพียงแต่ตอนนี้จะทำอย่างไรให้แป๊วกินยาได้ พ่อแม่เธอเกลี้ยกล่อมทุกวันก็ยังไม่สามารถทำได้ ป้าของแป๊วที่อยู่บ้านข้างๆมานั่งคุยด้วย แกก็บอกให้ฉันพูดคุยแบบจิตเวชกับคนไข้ ฉันก็พยายามคุย สร้างความคุ้นเคยกับแป๊ว ถามเหตุผลของการไม่กินยา และขอร้องให้กินยาจากโรงพยาบาล เพื่อช่วยให้แป๊วนอนหลับได้ และที่สำคัญหากแป๊วนอนหลับได้ ไม่เดินไปมา แป๊วจะมีโอกาสได้เลี้ยงลูกอีกครั้งหนึ่ง แป๊วหันมานั่งฟังฉันนิ่งๆสักแป๊บหนึ่ง แล้วเธอก็บอกว่า
“ถ้าอย่างงั้นหนูจะกินตอนเย็นๆนะหมอ ”
นั่น...เป็นงัยล่ะ คนไข้จิตเวชไม่ใช่คนโง่นะ เขาต่อรองได้ เหมือนคนเราปกติ ฉันก็จะขอให้แป๊วกินยาให้ดูตรงหน้านี้เลย แต่แม่กับพ่อของเธอก็ใจอ่อน ขอเวลาเกลี้ยกล่อมลูกอีกสักครั้ง โดยใช้น้องโดมมาเป็นแรงจูงใจสำหรับแป๊ว ฉันก็เลยให้เวลากับครอบครัวนี้เพื่อจัดการเรื่องการกินยา ฉันไม่เร่งรัดอะไร เพราะเห็นว่าแป๊วไม่มีอาการอะไรที่น่ากังวลว่าจะทำร้ายใคร ฉันเลยบอกข้อตกลง ต่อรองกับแป๊วและครอบครัวว่า ถ้าแป๊วไม่กินยา จะต้องถูกฉีดยาสงบประสาทแทน เพื่อให้เธอได้หลับพักผ่อนบ้าง พ่อกับแม่ของเธอก็รับปากกับฉัน และขอร้องฉันว่าไม่อยากพาแป๊วไปโรงพยาบาล เนื่องจากอายคนมากที่ลูกสาวเป็นแบบนี้ และขอร้องให้ฉันมาเยี่ยมและฉีดยาเองเพื่อจะไม่ต้องไปที่คนพลุกพล่านอย่างที่โรงพยาบาล
“ ครั้งที่แล้วกว่าจะจับตัวขึ้นรถไปโรงพยาบาลได้ก็แทบหมดแรง เขาบอกว่าเขาไม่ป่วย ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ”
แม่ของแป๊วกระซิบบอกฉันก่อนกลับออกมาในวันนั้น หลังจากฉันให้เบอร์โทรส่วนตัวเพื่อ ติดตามแจ้งผลการกินยาในวันต่อมา
เสียงโทรศัพท์จากแม่แป๊ว ดังขึ้นตอนสายๆ
“ หมอ...เมื่อคืนแป๊วมันไม่นอนทั้งคืน ยาก็ไม่กิน เอาผ้าขาวสมัยเคยบวชชีพราหมณ์มานั่งท่องอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็ลุกๆนั่งๆ เช้านี้ก็ทำตาขวางๆ ไม่ยอมกินข้าว พ่อมันโมโหมากจะเอาไม้ฟาดเสียหลายที ฉันกับพี่สาวต้องเข้าไปห้าม ฉันว่าต้องฉีดยาตามที่หมอว่าแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียวกลัวมันจะเป็นมากกว่านี้ ”
ฉันนำรายละเอียดของคนไข้ไปปรึกษากับแพทย์ ให้ช่วยสั่งยาฉีดสงบประสาทให้ แพทย์ก็ช่วยสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ฉันได้ยาแล้วก็ออกจากโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่กลัวว่าแป๊วจะไม่ยอมให้ฉีดยา ฉันจึงไปชวนพี่ผู้ชายที่สถานีอนามัย กับ อปพร.ประจำหมู่บ้านซึ่งรู้จักกันกับแป๊วเป็นอย่างดี ให้มาช่วย เผื่อจะต้องยึดจับฉีดยา
แล้วเหตุการณ์ก็เป็นดังคาด แป๊ววิ่งหลบไปมาไม่ยอมให้ฉีดยา แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถหลบได้พ้น เราช่วยกันจับเธอฉีดยาจนได้ จากนั้นเธอก็สงบลง ฉันอธิบายฤทธิ์ของยาให้แม่แป๊วฟัง เพื่อให้ช่วยดูแล และกำชับให้กลับไปตรวจที่โรงพยาบาลทั่วไปตามหมอนัดด้วย ใบนัดยับยู่ยี่ที่แม่ของแป๊วล้วงมาให้ฉันดูนั้น เป็นวันนัดเข้าคลินิกยาเสพติด ที่แม่ของแป๊วไม่อยากให้ใครเห็น แต่ที่สำคัญคือเป็นวันที่เพิ่งประกาศว่าเป็นวันหยุดราชการเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันจึงต้องโทรไปประสานงานเลื่อนวันนัดให้กับทางโรงพยาบาลทั่วไป
จากนั้นทุกวันฉันก็จะโทรศัพท์ไปถามอาการของแป๊ว แม่เธอบอกว่าเริ่มกินยา พอนอนหลับได้บ้าง ไม่ลุกๆนั่งๆมากเหมือนก่อน ฉันก็รู้สึกคลายความกังวลใจ ไปบ้าง วันนัดไปโรงพยาบาลทั่วไปมาถึง ตอนสายจัดเสียงโทรศัพท์จากแม่แป๊วก็ดังขึ้นมา แต่คราวนี้พ่อแป๊วเป็นคนพูด
“ หมอ...ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดนะ แป๊วมันไม่ยอมลงจากรถ มันบอกว่ามันไม่ได้เป็นอะไร มันไม่ต้องหาหมอ นี่ผมจะทำอย่างไรดี ”
ฉันแนะนำให้เขาแจ้งยามหรือเวรเปล แต่พ่อของแป๊วก็บอกว่าไม่กล้า อับอายที่ลูกต้องมาถูกยึดจับตัวที่โรงพยาบาลแบบนี้ ดังนั้นจึงโทรศัพท์ติดต่อกับพยาบาลแผนกจิตเวช เพื่อให้เขาทราบว่าคนไข้ไม่ยอมลงจากรถ พยาบาลปรึกษาแพทย์แล้วก็อนุญาตให้ญาติเข้าไปแจ้งอาการโดยที่คนไข้ไม่ต้องเข้าไปพบแพทย์ก็ได้ จากนั้นแป๊วก็ได้ยาและกลับบ้าน
สามวันต่อมา เสียงโทรศัพท์จากแม่แป๊วก็ดังขึ้นอีก
“ หมอ...อาการแป๊วมันเหมือนเดิมเลยนะ ไม่กินข้าว ไม่กินยา ไม่หลับไม่นอน นุ่งขาวห่มขาวอีกแล้ว ”
ฉันสอบถามสาเหตุก็พบว่ารายละเอียดในใบส่งตัวที่เขียนไปว่า คนไข้ไม่ยอมรับประทานยานั้น จิตแพทย์ไม่ทราบ เนื่องจากญาติไม่ได้แจ้ง แพทย์จึงสั่งแต่ยากินกลับมา คราวนี้ยาสงบประสาทเข็มที่สองก็ได้ใช้กับแป๊วอีกครั้ง แต่คราวนี้แป๊วยินยอมให้ฉันฉีดยาโดยดี เธอบอกว่าอยากหลับบ้างรู้สึก เพลียเหลือเกิน
หลังจากครั้งนี้ฉันตั้งใจจะส่งตัวแป๊วไปรับยาฉีดเพื่อรักษาอาการทางจิตโดยเฉพาะเนื่องจากอาจพบปัญหาไม่รับประทานยาต่อเนื่อง ฉันจึงแจ้งให้พี่จากงานจิตเวชก็ช่วยประสานงานไปใหม่เพื่อให้คนไข้ได้รับยาฉีดรักษาอาการทางจิตเวช ที่ออกฤทธิ์ยาวกว่ายาสงบประสาทที่ฉันฉีดให้ จากนั้นฉันก็เดินทางเข้าไปประชุมในกรุงเทพ
วันศุกร์ตอนสายขณะกำลังประชุม เสียงโทรศัพท์จากพี่งานจิตเวชก็ดังขึ้น
“ น้องคะ พี่นัดกับจิตแพทย์ให้แล้วนะคะ ให้ญาติมารับยาได้เลยค่ะ คุณหมอจะรอจนถึงเที่ยงนะคะ ส่วนสัปดาห์หน้าคุณหมอไม่อยู่ค่ะจะต้องไปราชการ ”
แต่วันและเวลาที่ว่าไม่มีใครที่บ้านของแป๊วว่างพอจะไปรับยาเลยสักคน จึงต้องผิดนัดกับจิตแพทย์อย่างช่วยไม่ได้ ฉันจะช่วยเขาอย่างไรดีหนอ
ในที่สุดก็คิดออก เช้าวันเสาร์ฉันก็ โทรให้สามีของแป๊วให้ไปพบจิตแพทย์ที่คลินิก เพื่อรับยาฉีดที่คลินิก แทนการไปรับยาที่โรงพยาบาล บ้านแป๊วพอมีฐานะจึงไม่ลำบากในการที่จะจ่ายค่ายาฉีดที่ราคาไม่แพงนัก และฉันก็ตามไปฉีดยาให้แป๊ว ท่ามกลางสายตาขอบคุณของครอบครัวแป๊ว ที่วันนี้อยู่กันหลายคน ป้าของแป๊วก็บอกว่าเกรงใจหมอเหลือเกิน วันหยุดก็ยังอุตส่าห์มาช่วยดูคนไข้
“ นึกว่าทำบุญนะหมอ... ช่วยให้แป๊วมันกลับมาเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที น้องโดมจะได้อยู่กับแม่บ้าง ”
สองสัปดาห์ต่อมาฉันกลับไปเยี่ยมแป๊วอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เธอเปลี่ยนไป เดินออกมาต้อนรับทักทาย บอกว่าสบายใจขึ้นแล้ว นอนหลับดี และตอนนี้ก็ได้ช่วยแม่ดูแลน้องโดมแล้วด้วย
“ แม่เขายอมให้หนูอุ้มน้องโดมแล้วนะหมอ หนูดีใจจริงๆเลย หนูคิดว่าหนูจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงลูกอีกแล้ว ”
ฉันนั่งมองแป๊วที่กำลังอุ้มน้องโดมขึ้นมาจากเปล รอยยิ้มของเธอในวันนี้ก็เป็นรอยยิ้มของแม่อีกคนหนึ่ง ที่รู้สึกว่าตนเองได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงคนให้กำเนิดเท่านั้น แต่ไม่สามารถ เลี้ยงดู อุ้มชู โอบกอด ลูกอย่างใกล้ชิด แต่กว่าจะถึงวันนี้ เธอต้องผ่านอุปสรรคที่เป็นบาดแผลลึกของชีวิตที่ไม่ค่อยมีใครเจอเหมือนเธอ ฉันอยากให้น้องโดมได้อ้อมแขนที่อบอุ่นจากแม่ อยากเห็นรอยยิ้มของแป๊วกลับมา อยากเห็นวัยรุ่นอย่างแป๊วมีความเชื่อมั่นในตัวเองพอที่จะก้าวผ่านปัญหาเรื่องความอ้วนไปได้อีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆเลย นอกจากยาใจของเธอ....น้องโดม
ไม่มีความเห็น