วัดศิลปะผสมไทย จีน ธิเบต และหอพระไตรปิฎกที่สำคัญที่สุดของโลก


แมกกาซีนแปลก วันที่ 14 สิงหาคม 2552

วัดศิลปะผสมไทย จีน ธิเบต และหอพระไตรปิฎกที่สำคัญที่สุดของโลก

จากผลสำรวจของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 พบว่าวัดในประเทศไทยมีอยู่รวมกันทั้งสิ้น 35,772 วัด เฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มี 50 เขต ก็มีวัดถึง 440 วัด และส่วนมากจะเป็นวัดไทยที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทย แต่วัดที่จะกล่าวถึงในวันนี้นั้นเป็นวัดที่เรียกได้ว่าเป็นวัดจีนนิกายมหายานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักเห็นแต่ภาพถ่ายอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นวัดที่อยู่ในจีนแต่ความจริงแล้วไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะวัดโพธิ์แมนคุณารามตั้งอยู่ที่ถนนสาธุประดิษฐ์ ซ.19 (ซอยวัดโพธิ์แมน) เขตยานนาวา นี่เอง

ความพิเศษของวัดนี้มีทั้งความสวยงามและความแปลกเพราะเป็นวัดที่ผสมผสานศิลปะถึง 3 ชาติด้วยกันคือ ไทย จีน และธิเบต และยังเป็นสถานที่อันทรงคุณค่า เป็นที่จัดเก็บพระไตรปิฎกที่สำคัญของโลก
          ความเป็นมา วัดโพธิ์แมนคุณาราม (โพวมึ้งป่ออึงยี่)นั้นเป็นวัดในพุทธศาสนาฝ่าย
มหายาน สังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ที่สืบทอดหลักธรรมคำสอนมาจากนิกายเซน สาขาหลินฉี (วิปัสสนากรรมฐาน) และเป็นเป็นศูนย์กลางหลักธรรมคำสอนของนิกายวินัย และนิกายมนตรายาน ของวัชรยาน ทิเบต และเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย และศูนย์กลางการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนานิกายมหายาน และวัชรยานอีกทั้งเป็นแหล่งข้อมูลพุทธศาสนาฝ่ายมหายานของประเทศไทย เริ่มก่อสร้างสถาปนาวัดเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยมีพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย รูปที่ 6 เป็นผู้นำสร้าง พร้อมด้วยคณะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า ประชาชนตลอดจนพุทธบริษัทชาวไทยและจีน ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2503 มีเนื้อที่เนื้อที่ 12 ไร่เศษ ใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างประมาณ 30 ล้านบาท ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธียกยอดฉัตรเจดีย์อุโบสถ และ พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ “ภปร“ ประดิษฐานหน้าบันอุโบสถ ปีพ.ศ. 2514 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามพระประธานอุโบสถว่า “พระพุทธวัชรโพธิคุณ“ และในปีเดียวกันนี้ สมเด็จพระสังฆราช (อุฏฐายีมหาเถระ) ทรงพระกรุณาพระราชทานเป็นวัดพัฒนาดีเด่นพร้อมประกาศนียบัตรจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการแด่ท่านเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) ที่ได้สร้างและพัฒนาวัดจนเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง

วัดโพธิ์แมนสร้างตามหลักฮวงจุ้ย ลักษณะรถม้ากำลังลากราชรถ ซึ่งประตูทางเข้าวัดมีซุ้มประตู 5 ประตูเปรียบเหมือนม้าห้าตัว กำลังลากราชรถ คือพระอุโบสถ อันมีพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นประธาน ตัวพระอุโบสถเป็นลักษณะผสมผสานระหว่าง พุทธศิลป ไทย จีน และธิเบต พระอุโบสถเป็นรูปทรงจีน พื้นหินขัดลายจีน สถาปัตยกรรมของวัดโพธิ์แมนเป็นฝีมือออกแบบโดยเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระ อดีตเจ้าคณะใหญ่สงฆ์นิกายจีน สำหรับถาวรวัตถุที่สำคัญๆของวัดมีอุโบสถ 3 ชั้น ยอดเป็นฉัตรเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ภายในประดิษฐาน “พระพุทธวัชรโพธิคุณ” ปิดทองเหลืองอร่าม พร้อมด้วยหมู่พระพุทธรูป 1,000 องค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนเพดานทั้ง 3 ชั้นของอุโบสถ ฝาผนัง 2 ข้าง เป็นจิตรกรรมกระเบื้องโมเสครูปพระอรหันต์ 500 องค์

อีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการออกบิณฑบาตร โปรดสัตว์ในกรุงสาวัตถีประเทศอินเดียสมัยพุทธกาล ฐานและขั้นเป็นหินอ่อนอิตาลี เสาเป็นลวดลายตัวมังกร สลักปิดทอง หน้าพระอุโบสถ ประดิษฐานพระปรมาภิไธยย่อ “ภปร” รอบอุโบสถล้อมด้วยลูกกรงแก้ว มีเสมาหินอ่อนและแกะสลักด้วยรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ และเครื่องหมายรูปวัชระธิเบต ด้านหน้าอุโบสถเป็นมหาวิหารท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ทิศ ภายในประดิษฐานพระศรีอารยเมตตรัยโพธิสัตว์ และท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ด้านหน้ามหาวิหารจารึกอักขระภาษาจีนธิเบต แกะสลักด้วยไม้สักปิดทอง

ด้านหลังอุโบสถเป็นวิหารบูรพาจารย์ ประดิษฐานสรีระร่างท่านเจ้าคณะใหญ่โพธิ์แจ้ง มหาเถระซึ่งนั่งสมาธิดับขันธ์ นอกจากนี้ ยังมีวิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (พระกวนอิมโพธิสัตว์) ปางสหัสกร ปางสหัสเนตร (พันมือ พันตา) ซึ่งเป็นวัตถุโบราณ แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมจากเมืองจีน สมัยราชวงศ์ถัง (อายุประมาณ 1,300 ปี) วิหารปรมจารย์ วิหารบรรพชน หอศึกษาปริยธรรม ประภาศวิทยาคาร ห้องสมุด หออาคันตุกะ หอวัตถุธรรม สำนักงานคณะกรรมการสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยหมู่กุฏิสงฆ์ เรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทางเดินส่วนใหญ่เป็นหินขัด ด้านนอกมีเจดีย์ทรงญี่ปุ่น 3 ชั้น ศาลาพระพรหม ประตูมังกร 9 ขด องค์พระปัทมคุรุสมภพวัชรจารย์ธิเบต เจดีย์ 7 ชั้นทรงจีน ศาลาเยาวราช วัชรเจดีย์ทรงธิเบตในอดีตเป็นสถานที่บรรจุสรีระของท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระ

ด้านขวาของพระอุโบสถเป็นอาคารสำนักงานเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายแห่งประเทศไทย ภายในจัดแสดง วัตถุโบราณล้ำค่ามากมาย เช่น พระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์ และหยกแกะสลักเป็นพระโพธิสัตว์ห้าร้อยพระองค์ ตราประจำตำแหน่งพระสังฆนายกนิกายมนตรายาน คธาธุดงค์ พัดยศงาช้าง เป็นต้น

ถัดมาเป็นห้องเก็บพัดยศ อัฐบริขารฝ่ายมหายาน และ ห้องเก็บพระคัมภีร์ มนตรา ฝ่ายมหายาน ประตูด้านหน้าหอเก็บทาด้วยสีดำลงรักเขียนด้วยทองคำเป็นรูปภาพต่าง ๆ สวยงามมาก

หอพระไตรปิฏกฉบับมหายาน ซึ่งเป็นหอพระไตรปิฏกสำคัญที่สุดของโลก คือ เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระไตรปิฏกของมหายาน หินยาน และวัชรยาน(ทิเบต)นิกายมนตรยาน ซึ่งสิ่งล้ำค่าที่สุดในนี้คือ พระไตรปิฏกฉบับจักรพรรดิเหลียงบู้ตี้ ซึ่งในโลกนี้มีแค่ 3 ที่เท่านั้นที่มีการเก็บรักษาอยู่จนถึงปัจจุบัน และสิ่งล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งคือพระคัมภีร์ของวัชรยาน(ทิเบต)นิกายมนตรายาน ในโลกนี้มีที่นี่ที่เดียวที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งได้อัญเชิญมาจากทิเบต ตามคำสั่งของท่านอาจารย์นอร่ารินโปเช่ ก่อนที่ทิเบตจะแตก 3 ปี

วัดโพธิ์แมนคุณาราม เปิดให้เยี่ยมชมได้ ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น. โทร. 02-211-7885 หรือ 02-211-2363 มีเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันคือพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (ท่านเจ้าคุณเย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 7 เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม และเจ้าอาวาสวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม (วัดที่มีพระสังฆจายสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 19 เมตร ตั้งอยู่บนฐานวิหารเทียบเท่าตึก 4-5 ชั้น) การเดินทางใช้ทางด่วนขั้นที่ 1 ลงที่ถนนสาธุประดิษฐ์ แล้วกลับรถทางขวาวกกลับผ่านเซ็นทรัลพระราม 3 ถึงถนนนราธิวาสราชนครินทร์เลี้ยวซ้ายเข้าซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 ถ้ามาจากฝั่งสาธุประดิษฐ์ เข้าซอยสาธุประดิษฐ์ 19 (ซอยวัดโพธิแมน)

      และแถมท้ายด้วยภาพบรรยากาศของงานหูจิ่ง-โผ่วโต่ว (ทักษิณานุประทาน-เปรตพลี) หรือ งานเทศกาลอุลลัมพัน ซึ่งจัดขึ้นที่วัดโพธิ์แมนคุณารามในเดือนที่เจ็ด ตามปฏิทินจีน โดยเทศกาลนี้จัดขึ้นตามความเชื่อที่ว่าเดือน 7 เป็นเดือนผีที่ประตูนรกเปิด ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะสามารถทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ดวงวิญญาณเร่ร่อนและเปรต โดยอาศัยบารมีของพระภิกษุที่จำพรรษา บรรยากาศในงานภายในวิหารจะเต็มไปด้วยป้ายบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ มีหุ่นกระดาษไต้สื่อเอี้ยหรือหุ่นกระดาษรูปเปรตอัศนีชวาลมุข(เอี่ยมค่าว)ซึ่งยอดของหุ่นจะเป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม พิธีเริ่มจากพระสงฆ์จะทำพิธีเบิกเนตร และอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติมารับการอุทิศกุศล สวดขมากรรมพระพุทธเจ้าพันพระองค์ จากนั้นเจ้าหน้าที่วัดก็จะจัดเตรียมจำลองเมืองนรก จากภาพที่เห็นแผ่นกระเบื้องจะสมมติเป็นประตูนรก และไข่ที่มีหน้ามีตานั้นเป็นเหล่ายมทูตทั้งหลาย ประตูนรกทางทิศตะวันออกในเมืองนรกจะมีป้ายวิญญาณตั้งอยู่สมมติให้ดวงวิญญาณเสวยกรรมอยู่ในอบายภูมิ โดยจะมีประตูนรกใหญ่ 4 ประตู และมีกระเบื้องสมมติเป็นประตูนรกอีก 18 แผ่นแทนนรก18 ขุม ต่อมาพระสงฆ์จะประกอบพิธีเปิดประตูนรก โดยการสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย มีความหมายเป็นหลักธรรมว่า สรรพสัตว์จะพ้นจากอบายภูมิได้ด้วยการเข้าถึงพระรัตนตรัย บำเพ็ญศีล และบำเพ็ญตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและทำการประกอบพิธีชำระดวงวิญญาณ จากนั้นก็เริ่มพิธีเดินข้ามสะพานโอฆสงสาร 3รอบ โดยมีพระสงฆ์นำข้ามสะพานโอฆสงสาร ซึ่งเป็นหลักธรรมว่า สรรพสัตว์ย่อมเวียนว่าย และพุทธศาสนิกชนทิ้งเงินก่อนขึ้นสะพาน เป็นหลักธรรมว่า เมื่อเราไปเกิด เราไปแต่ตัวทรัพย์สมบัติย่อมทิ้งไว้ และเป็นหลักธรรมปริศนาอีกข้อว่าเมื่อเวียนว่ายเราใช้ผลบุญของเราไปตลอดถ้าเราไม่สะสมเพิ่มย่อมหมดไป และการอยู่บนสะพานเปรียบเสมือนเรากำลังเสวยกรรมอยู่ในภพภูมิทั้งหก อันได้แก่ เทวดา มนุษย์ เดรัจฉาน นรก เปรต และ อสูรกาย พอจบจากการข้ามสะพานก็จะเป็นพิธี โปรยดอกไม้ เพื่อบูชา พระพุทธและ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเทศกาลนี้เรียกว่าหาดูได้ยากในบ้านเรา

 

 

หมายเลขบันทึก: 297005เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2009 00:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขออนุญาติดรูปไว้ก่อนนะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท