เริ่มปีงบประมาณใหม่เดือนหน้านี้ ผมกำลังจะขอย้ายจากสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ไปอยู่ที่คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วก็เพิ่งทราบว่าผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานและพี่ๆน้องๆที่ทำงานของผม ได้ร่วมกันเตรียมการอยู่เบื้องหลังโดยยังไม่อยากให้ผมทราบ ที่จะทำหนังสือให้เป็นการขอบคุณและเป็นเครื่องรำลึกถึงกัน อันที่จริงผมจะไม่สามารถทราบเลยจนกว่าจะถึงวันกล่าวอำลากัน
ทว่า มาวันสองวันนี้ก็ต้องได้ทราบเพราะพรรคพวกเขาต้องการให้ผมเขียนคำนำหนังสือ เลยจำเป็นต้องบอกให้ข้อมูลผม แต่ก็ทราบเพียงแต่ว่าเขาจะเลือกที่พอให้คนอื่นอ่านได้โดยดึงเอาจากบางส่วนที่ผมเขียนในบล๊อกของ GotoKnow นี้ แต่ผมก็ยังไม่ทราบให้หายตื่นเต้นอยู่ดีว่าในเล่มจะมีเนื้อหาและรายละเอียดอย่างไร พอจะทราบรวมๆว่าเขาเลือกไปจากบางส่วนในหัวข้อที่ผมมักบันทึกและเขียนเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกันการพัฒนาคน ชุมชน กลุ่มก้อน และองค์กร ในแนวประชาคม เลยได้เขียนคำนำขนาดยาวเพื่อขอร่วมทำเป็นหมายเหตุชีวิตการทำงานตนเองที่ทำงานมาถึงปีนี้ย่าง ๒๗ ปีแล้วด้วย หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือจากการจัดการความรู้ เขียนประสบการณ์ลงบล๊อกและแปรจากบล๊อกสู่หนังสือ : From Blog to Book
สวัสดีครับ อาจารย์ รวมงาน บล๊อก ทู บุ๊ก ของอาจารย์ อยากได้มาเรียนรู้ครับ เป็นคู่มืองานชุมชน
เรื่องราวทั้งหมดเป็นความงดงามของการอยู่ร่วมกัน ที่มีความรัก ศรัทธา เป็นเครื่องยืดโยงความสัมพันธ์ที่ดีนั้นไว้
เหมือน "ธรรมะจัดสรร" นะครับ ในที่สุด ดวงดาวเล็กๆของผม ก็โคจรไปอยู่ร่วมเส้นวิถีของอาจารย์จนได้
ในฐานะ User คนหนึ่งของ Gotoknow ต้องขอขอบคุณที่ท่านได้เขียน ถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีๆ ให้เเง่มุมที่หลากหลายเป็น "ทุนภายนอก" ที่มีคุณค่าให้กับผู้อ่าน ผู้ติดตามทุกท่าน ตรงนี้เป็นกุศลจิตที่มีพลังของอาจารย์
ในฐานะ ลูกศิษย์ ก็ ต้องบอกว่าดีใจมากครับ ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้กับอาจารย์อย่างใกล้ชิด
"มหิดล ปัญญาแห่งแผ่นดิน"
ต้องเป็นหนังสือที่งดงามมากๆเลยค่ะ
ลำพังข้อเขียนของอาจารย์ ก็มีความงามอยู่แล้ว
เมื่อประกอบกับภาพวาดเข้าไปอีก
คงงามจนแทบไม่มีที่ติ
สวัสดียามบ่ายครับคุณณัฐรดา
คารวะเจ้าค่ะ อ.วิรัตน์
อ่านแล้วก็ตาลุกวาว อยากได้หนังสือ.. แต่อ่านจากบล็อกก็ได้ค่ะ ของดีคงมีจำนวนจำกัด..
อ่านต่อไปก็ใจหาย.. แล้วใบไม้ฯ จะได้พบอาจารย์กับทีมงานอาเซียนพร้อมหน้ากันอีกไหม คงไม่ถึงกับร้างลากันไปเลย ใช่ไหมคะ
สารภาพเสียตรงนี้ก่อนว่า สิ่งที่ทำให้ใบไม้ฯ นับถืออาจารย์ที่สุด ก็เพราะเห็นการยอมรับจากชาวบ้านในชุมชนที่อาจารย์เคยร่วมงาน เห็นความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งกัลยาณมิตรระหว่างอาจารย์และชุมชน เห็น "ใจ" สัมผัสกับ "ใจ" คนทำงานที่ได้ใจชาวบ้านนั้นมีไม่มาก เมื่อได้พบแล้วก็ประทับใจค่ะ
ใบไม้ฯ พบคนทำงานมามากพอควร พบคนเก่งกาจก็มิใช่น้อย แต่กลับพบคนที่ได้ "ใจ" คนอื่นไม่มากนัก เรื่องเทคนิค ความชำนาญชาญฉลาด เป็นเรื่องรองในความรู้สึกของใบไม้ฯ เรื่อง"ใจ"ต่างหากที่สำคัญกว่า เพียงแต่ต้องใช้ควบคู่กับความรู้ ประสบการณ์ ความชำนาญในเทคนิควิธีการที่เหมาะสม
ขอบคุณที่ให้โอกาสเรียนรู้ในการร่วมงาน แม้ว่างานจะยังไม่สำเร็จก็ตามที.. :P
ขอให้ก้าวย่างทางเดินใหม่เต็มไปด้วยความเบิกบานและพรั่งพร้อมด้วยกัลยาณมิตรนะคะ..^__^..
สวัสดีครับคุณใบไม้ย้อนแสง
ก็คงจะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ยังไม่แยกย้ายกันไปไหนหรอกครับ อาจจะคล่องตัวมากกว่าเดิมอีกด้วย หนังสือนี้เพื่อนๆของใบไม้นั่นแหละเป็นตัวตั้งตัวตี ฟังเขาคุยแย้มทีละนิดละหน่อยจนผมเองก็อยากเห็นทุกวันเลย ผมชอบศิลปะของการทำหนังสือ เวลาใครทำโดยมีการใส่ไอเดียและลูกเล่นต่างๆเข้าไปก็จะอยากเห็นครับ
ผมก็ให้ใจทั้งกับชาวบ้านในชุมชนและมหิดลศาลายาด้วยเช่นกันครับ เพราะอยู่ทำงานเห็นน้ำใจและเหน็ดมาด้วยกันตั้ง ๒๕-๒๖ ปีเข้านี่แล้ว อยู่นานกว่าที่ไหนๆในชีวิตเสียอีก จนหลายคนนี่เคารพรักกันเหมือนเป็นญาติเลยทีเดียว นึกๆดูแล้วทำอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คือวางแผนที่จะใช้เวลาสัก ๓-๔ ปีเพื่อค่อยๆออกจากชีวิตและการงานที่กรุงเทพฯทีละเล็กละน้อย หากจู่ๆก็ไปเลยนี่สงสัยเฉาตายเลย ผมติดคนและติดที่ครับ เลยต้องค่อยๆทำอย่างนี้แหละ
ขอบคุณคุณใบไม้ย้อนแสงด้วยเหมือนกัน ผมก็ประทับใจในความเป็นคนรุ่นใหม่ที่แข็งขัน เอาจริงเอาจัง มีทรรศนะวิพากษ์ และตื่นตัวที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอของใบไม้นะครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
"มหิดล ปัญญาแห่งแผ่นดิน"....
สมแล้วครับกับการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย เพราะทรัพยากรบุคคลมีศักยภาพและสำคัญคือมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นสังคม...
ชื่นชมเสมอมา...นะครับ
สวัสดีครับครูคิม
สวัสดีครับอาจารย์แผ่นดินครับ
คอมเม้นต์ของอาจารย์ณัฐพัชร์ :
สวัสดียามดึกค่ะ อาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์
สวัสดีครับอาจารย์ณัฐพัชร์ ( ขออภัยครับผมไปก๊อบปี้เลยไปถึงกล่องสนทนาของอาจารย์ ทำให้ตรงที่อาจารย์เข้ามาคุยด้วยพังไปด้วยเลย เลยขอก๊อปปี้เอามาใส่ไว้ใหม่นะครับ )
ขอให้อาจารย์มีความสุขและประสบความสำเร็จในทุกสิ่งอย่างเช่นกันครับ
ลุงม่อยคร้าบบบบ....... ยินดีด้วยกะ ... ซีรีย์แรก "วิถีประชาศึกษา"
(1) แรก....นึกว่าเป็นกระเป๋าธรรมดา ดูข้อความและภาพที่สกรีนแล้วไม่ธรรมดาแล้ว.... "เดินร่วมทางกันได้ ๗ ก้าว แม้เป็นคนอื่น ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อน กินข้าวร่วมกัน ๑ มื้อ แม้เป็นคนอื่น ก็ให้ความคุ้นเคยกันดังญาติ นอนแรมทางกันเพียง ๑ ราตรี แม้เป็นคนอื่น ก็ให้ความวางใจกันเสมือนเป็นตัวเอง"...... นี่ถือ "หลักและวิถีแห่งปราชญ์" โดยแท้ และผมว่านี่คือ "ตัวตน" ของลุงม่อยเลยล่ะ เมื่อสักประมาณ 2-3 ปี ผมไปร่วมงานรำลึกพระมหาเถระรูปหนึ่ง ศิษยานุศิษย์ได้จัดทำกระเป๋าแจกพร้อมหนังสือ บนกระเป๋าเขียนไว้ว่า"น้ำบ่อน้ำคลองยังเป็นรองน้ำใจ น้ำไหนๆ ก็สู้น้ำใจไม่ได้"......ถึงบัดนี้ผมยังเก็บไว้อย่างดีเลยครับ ข้อความบนกระเป๋าลึกซึ้ง งดงามมาก .... เช่นกันครับ... กระเป๋าลุงม่อยทั้งภาพลงแขกเกี่ยวข้าว และ ข้อความดังกล่าวที่อาจารย์คัดสรรมาแล้ว งดงามครับ งดงาม.........
(2) หนังสือ Blog to Book ฉบับ "วิถีประชาศึกษา" .....ฉบับปฐมฤกษ์ ต่อแต่นี้ไปผมคงไม่ต้องลำบากเสียเวลาเปิดคอมฯ ตามอ่านใน Blog แล้วล่ะ ต้องบอกว่าไม่เบื่อครับที่จะอ่านแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่านคราวใดได้ขบคิด ได้ความลุ่มลึก ได้มิติแห่ง"วิถี" และ "จิตวิญญาณ" แห่ง "ประชา" ทุกคราวไป ผมพลอยได้อานิสงส์เตือนตัวเองทุกครั้งไปว่า "วิถีประชา" เช่นนี้แหล่ะ คือชีวิตและจิตใจของสังคม ซึ่งเราเองก็ควรตระหนัก สังวรณ์ตัวเองให้นอบน้อม ค้นคว้าศึกษาไว้ และเผื่อแผ่ให้มวลมิตรให้ได้ลิ่มรสความงดงามเช่นนี้ด้วย..... ต้องบอกว่า บนเส้นทางแห่งการฝึกฝน บ่มเพาะ และเรียนรู้ และด้วยภูมิภาวะแห่ง"ครู" ลุงม่อยได้ตกผลึก เรียบเรียง และถ่ายทอด ได้อย่างมีอรรถรสอย่างยิ่งครับ......... (ทั้งหมดที่กล่าว... ประหนึ่งจะเอ่ยความในว่าจะรอเล่มต่อๆ ไปคร้าบบบ... )
หลานชายลุงครับพ๊มม...
"ช้างน้อยมอมแมม”
วิถีประชาศึกษา หนังสือ From Blog to Book
วิถีประชาศึกษา
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์มหาแลครับ เป็นหนังสือที่สวยครับ คนออกแบบกล้าเล่นดีครับ ดูเรียบง่ายเข้ากับลักษณะของเนื้อหามากครับ
ยังอยู่ในห้วงกลิ่นอายยยย..... หนังสือ "วิถีประชาศึกษา" ครับ
(1) มีโอกาสได้สัมผัส และสัมภาษณ์ทีมงานทำคลอด "วิถีประชาศึกษา" ทีมงานบอกว่า "อาจารย์อิ่มใจ น้องๆอิ่มบุญ" ขอรับ...
(2) ผ่ะ.... เอิญ เช่นกันครับ อยู่ในห้วงรำลึก 50 วันหลังการเสียชีวิตอาจารย์กรุณา กุศลาสัย "ครูชีวิต" ท่านหนึ่งที่ผมชื่มชม ทั้งผ่านผลงาน และแบบอย่างของการครองตน ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี (ปธ.9) วัดเบญจมบพิตร ท่านได้ถอดบทเรียนไว้ว่าท่านเป็น "บุรุษอาชาไนย" (http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=69002)
และ...... ผมลองถอดบทเรียน เจ้าของผลงาน "วิถีประชาศึกษา" เล่มนี้ครับ ... แม้นไม่แยบคายนัก แต่ขอนำเสนอโดยสังเขป
ครองตน ครองสติ : บ่อยครั้งได้ยินคำว่า “ผมเป็นคนบ้านนอก ผมไถนาตั้งแต่วัยรุ่น” = แก่นของวิถีประชาเชียวหล่ะครับ "บ้านนอก" เป็น “สัปปายะ” อันรวมความถึงครอบครัว ผู้คน และวิถีแห่งสังคมและวัฒนธรรมที่ปรุงแต่งให้เกิดความงดงาม
บ่มเพาะ และเรียนรู้ : บ่อยครั้งได้ยินคำว่า“ครูลักพักจำ” = ใช่เลยครับ....แบบฉบับของ Life-long Learning ของแท้ วงการศึกษา (เน้นย้ำว่า..ของไทย) ณ ปัจจุบัน พึงเรียนรู้จากบทเรียน "วิถีประชาศึกษา" ให้ถึงแก่น และเยื้อในกระดูก
ธำรงตน : บ่อยครั้งได้ยินคำว่า“อย่างมากเขาก็ว่าเราโง่” = นี่ก็ใช่เลยครับ “อุเบกขาธรรม” เป็นวิถีแห่งพรหมเชียวล่ะครับ.... หนึ่งในหลักแห่งพรหมวิหารธรรม เรามักมุ่งมั่นเพื่อเข้าถึง "ความเป็นเลิศทางวิชาการ" บางคราวน่าจะนำคำนี้มาทบทวน เพื่อตั้งสติ ลดตัวตนลง และเพื่อเข้าถึง "ความเป็นเลิศทางวิถีประชา"
เป้าหมาย : บ่อยครั้งได้ยินคำว่า“พาชาวบ้านกลับบ้านให้ถูกทาง” = สุดยอดเลยครับ..... ท่ามกลางสังคมที่ยึดเอา “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ในทางที่ผิดๆ เราละเลยคนรอบข้างไป การนำพาชาวบ้านกลับบ้านให้ถูกทางคือ"วิถีแห่งพระโพธิสัตว์" ครับ...นับถือ นับถือ
อยากอ่านเล่มสอง สาม.... ฯลฯ ต่อไป
ขอบคุณแทนผู้กระหาย...และใฝ่รู้ ทุกท่าน
ช้างน้อยครับบบบ.......
สวัสดีครับคุณช้างน้อย
๑. การทำหนังสือเป็นการได้เห็นภาพสะท้อนหลายอย่างของทีมที่ทำน่ะครับ คงจะเวลาทำที่จำกัดมากทีเดียว แต่ก็ทำออกมาได้ดีครับ ทำให้เห็นศักยภาพหลายอย่างของทีมที่ผสมผสานแล้วสะท้อนลงในความเป็นทั้งหมดของหนังสือ เลยอิ่มใจครับ
อิ่มใจในฝีมือของทีมทำคลอดน่ะ ดูเผินๆแล้วก็มีหลุดและขาดความพิถีพิถันอยู่บ้าง แต่เมื่อดูภายใต้ความยุ่งยากของการดึงข้อมูลเพื่อนำมาจัดใหม่และระยะเวลาอันจำกัดมากแล้ว ก็นับว่าเยี่ยมและเห็นพลังของความทุ่มเทใจทำครับ
๒. การปาฐกถาพิเศษของท่าน ว.วชิรเมธี เนื่องในงานรำลึก ๕๐ ปีมรณกรรมอาจารย์กรุณา กุศลาสัยนั้น เป็นปาฐกถาที่กล่าวถึงชีวประวัติบุคลและการเรียนรู้บทเรียนจากชีวิต ที่เป็นการแสดงคารวาลัยต่อชีวิตอันสูงส่งของบุคคลที่หมดจรด ลึงซึ้ง แยบคาย และเชื่อมโยงไปสู่พรมแดนความเข้าใจสังคมและสิ่งต่างๆอย่างกว้างขวาง ผมได้ปัญญาและประทับใจมากอย่างยิ่งเช่นกันครับ
๓. เมื่อมองชนบทและการดำเนินชีวิตของผู้คน ผ่านวิถีประชาศึกษาและ Life-long Learning แล้ว ก็จะทำให้สามารถเห็นวิถีแห่งการเรียนรู้ที่ผสมผสานอยู่กับการทำมาหากินและการดำเนินชีวิตได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น รวมทั้งรู้จักสิ่งที่เป็นความรู้แบบ Tacit Knowlegde และการเรียนรู้ที่อยู่กับความเป็นชุมชน ที่ให้ทั้งความเติบโต งอกงาม ริ่นรมย์ในชีวิต และยกระดับการพัฒนาผู้คนในหลายด้าน
พอมองในแง่นี้ แล้วก็นำมาถ่ายทอดและนำเสนอในอีกแบบหนึ่ง นอกจากจะเห็น ความสัมปายะ ต่อความงามแห่งชีวิตผู้ตนแล้ว ก็จะทำให้ทั้งคนจากชนบทเองและคนเมืองได้เห็นอีกหลายอย่างที่มีอยู่ในชนบท ไม่ใช่มีแต่ปัญหาและสิ่งที่ดูขาดไปหมดจนสังคมมุ่งแต่ทะยานไปข้างหน้าและละทิ้งหลายอย่างที่เป็นสิ่งดีๆของตนเองไปมากมาย ก็เลยชอบพูดและย้ำเมื่อมีโอกาสเสมอครับ คุณช้างน้อยจับประเด็นนี้ได้ดีนะครับ
การพัฒนาการเรียนรู้ในวิถีประชาศึกษา และ Life-long Learning ในแง่มุมนี้ จึงเป็นการศึกษาของประชาชน พลเมือง และของชุมชน ที่ผมคิดว่าจะมีความสำคัญทั้งต่อการพัฒนาสุขภาวะสังคมที่ดี มากนะครับ
๔. อย่างมากก็ให้เขาว่าเราโง่ (แต่ขอให้งาน องค์กร และสังคม สามารถเดินไปข้างหน้า) เป็นหลักปฏิบัติที่ผมถือเอาแบบครูพักลักจำมาจากท่านพุทธทาสภิกขุครับ ท่านพุทธทาสท่านต้องดูหนังสือและบางทีก็เห็นการเขียนจดหมายติดต่องานของคนอื่นที่ผิดๆถูกๆ แต่เมื่อดูแล้ว หากไม่ใช่ตัวงานและไม่ใช่สาระสำคัญที่จะกระทบต่อสิ่งที่เป็นความต้องการหลักของงานนั้น ท่านก็จะลงนามและไม่พูดออกปากตำหนิให้ผู้ที่ทำกระทบกระเทือนจิตใจ
บางครั้งท่านก็แก้ไขด้วยมือแล้วนำไปใช้เลย ไม่ต้องให้เสียกระดาษและกำลังคนเพิ่ม ท่านยอมให้งานเดินหน้าไปยังจุดหมายก่อน และให้ผู้ปฏิบัติได้ความเชื่อมัม่นที่จะเติบโต มากกว่าจะสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรเพิ่มเพียงเพื่อให้ตนเองดูแล้วมีความถูกต้องในเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่งานสำคัญเสีย
อันที่จริงเรื่องนี้ผมได้แก่ตนเองในแง่ได้ฝึกข่มใจ และเรียนรู้โลกรอบข้างไปในตัว เพราะหลายเรื่องไม่ใช่ความบกพร่องเล็กๆน้อย แต่บางที ผมสังเกตเห็นว่าเป็นการลองใส่เป็น Treatment เข้ามาด้วยซ้ำ ไม่ใช่ความบังเอิญผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นได้อย่างปรกติของคน อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่การลองภูมิธรรมดาๆ แต่เป็นการใส่เป็น Treatment อย่างมีวัตถุประสงค์ของการทำด้วย ซึ่งนอกจากต้องถือธรรมะเข้าข่มว่าอย่างมากก็ให้เขาว่าเราโง่แล้ว ยังต้องเรียนรู้เพื่อสู้กับความโกรธอย่างมากมายของตนเอง จนได้ความแน่ใจมากพอสมควรว่า เราสามารถรู้จักตนเองและจัดการกับตนเองได้ดีพอสมควร เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่ก็ได้การเรียนรู้ที่ไม่ได้คาดหมายมาก่อนหลายเรื่องครับ
๕. จะได้พากันกลับบ้านถูก ....ชอบจังเลยครับที่คุณช้างน้อยเห็นประเด็นนี้ ผมและคนจากชนบทเป็นจำนวนไม่น้อย ตระหนักในวิถีวิชาการของตนเองดีว่า แทนที่จะไหลลู่ไปข้างบนสู่ยอดปิรามิดของสังคมเพื่อมุ่งสู่การเสริมกำลังแข่งขันไปข้างหน้าของกระแสหลักซึ่งดีมากแล้วอย่างเดียวนั้น เราควรมุ่งหันกลับลงสู่ฐานสังคม เชื่อมโยงกับผู้คนส่วนใหญ่อันเป็นภาคที่เราจากมาอันได้แก่ชนบทซึ่งเขาเสียกำลังคนที่ติดอยู่กับตัวลูกหลาน การมุ่งในวิถีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็คิดว่าเป็นลูกบ้านนอกที่คุ้นเคยที่จะอดทนและทำได้ อีกทั้งควรจะทำ คิดว่าเป็นอีกแนวหนึ่งที่ช่วยเชิดชูสปิริตจากภาควิชาการของสังคมด้วยซ้ำนะครับ
ชอบการสนทนาของคุณช้างน้อยนะครับ อ่านเพลินและได้หลายอรรถรส เอาอีก-เอาอีก
รอผลงานคุณภาพเล่มต่อๆ ไปของอาจารย์เช่นกันค่ะ
สวัสดีครับคุณณัฐพัชร์
จะติดตาม ตามร้านหนังสือนะคะ
ได้มาอ่าน..เพราะความเมตตากรุณาของพี่อาจารย์ดร.วิรัตน์ค่ะ..อ่านเพลินเกินห้ามใจ...ก่อนอ่านต้องทำแบบญี่ปุ่นคือดูปกหลังด้านในก่อนเป็นอันดับแรก แบบว่าอมยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด..ฮาๆค่ะพี่อาจารย์..สร้างสุนทรียภาพในการอ่านร่วมกับพี่อาจารย์ผู้เขียนค่ะ..(คิดได้ไงไม่รู้ ถ่ายทอดออกมาเหมือนมากด้วยค่ะ)
ไม่ได้ทำเผยแพร่ผ่านการวางแผงหรอกครับคุณkumfun ใช้แจกจ่ายไปตามหมู่มิตรอย่างเดียวครับ ตอนนี้จะหมดแล้ว กำลังจะดึงมาจัดเล่มและทำขึ้นใหม่อีกสักชุดครับ เป็นสื่อพูดคุยกับชาวบ้าน ชุมชน และคนทำงานด้วยกันที่ดีมากอย่างยิ่งครับ
อมยิ้มผ่านหน้าประวัติ..มายิ้มกว้างๆที่หน้า 305 ที่ว่า
จากการทำงานของเราเกิดขึ้นเหมือนดอกกล้วยไม้จะผลิช่อดอกงาม ก็ทำให้ผมต้องตาลีตาเหลือกมาตั้งหลักใหม่และเริ่มบันทึกสิ่งต่างๆพร้อมกับทำอีกหลายอย่างเพื่อรายงานและถ่ายทอดไว้แบบเบาๆ
ตรงนี้สอนน้องๆและผู้อ่านไปในตัวว่าการบันทึกไว้เป็นปัจจุบันมันจะดีทันเหตุการณ์และเบากับการค้นคว้าข้อมูลในวันข้างหน้า..เวลาย้อนกลับไม่ได้..ปัจจุบันบันทึกไว้ดีกว่า..สบายกว่ากันเยอะเลย..
ตรงนี้ขออัญเชิญแบบอย่างของสมเด็จพระเทพฯท่านทรงทำเป็นแบบอย่างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันที่ข่าวในพระราชสำนักฯเสนอข่าวว่าท่านเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ใด พระองค์ท่านจะจดบันทึกไว้ตลอดเวลา..
สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก : ผมเองเห็นแล้วก็ต้องยิ้มขำๆไปด้วยเหมือนกัน เพื่อนร่วมงานเขาอยากทำเซอร์ไพรซ์ผม เลยไม่อยากให้ผมเห็นต้นฉบับหนังสือก่อนทำเสร็จ อีกทั้งเขาช่วยกันอุบไม่ให้รู้อีกด้วยว่าจะทำหนังสือให้ เขาก็เลยไม่รู้ว่ารูปที่ผมวาดกว่า ๖๐ ภาพที่มีอยู่ในแฟ้มข้อมูลเดียวกันนั้น รูปนี้ไม่ใช่รูปผม แต่เป็นรูปวาดประกอบการคุยรำลึกถึงวัยเรียนของครูอ้อยเล็กกับเพื่อนในบล๊อก แต่ก็เป็นรูปปิดท้ายเล่มที่ชอบครับ ได้ถือเป็นหมายเหตุไว้รำลึกถึงการคุยกันซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้