ผมไม่อยากได้ยินคำว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงในสังคมไทย


         ผมพูดอย่างนี้เหมือนกับคนปฏิเสธความจริง..เป็นพวกเพ้อฝันทางการศึกษาหรือเปล่า..
         ผมมีเหตุผลครับ...เหตุผลของผมก็คือ...

         เด็กทุกคนต้องการมีที่ยืนในสังคมไทย ในฐานะคนเก่ง คนดี อย่างมีความสุข ...เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้  เพราะเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน

         แล้วทำไม ?..ต้องกำหนดกลุ่มเด็กเสี่ยงในโรงเรียน?..........
         หลายคนอาจจะตอบว่า...เป็นการทำงานในเชิงยุทธศาสตร์  มีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนต่อการแก้ปัญหา

         เด็กเสี่ยงจึงมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้..หนีเรียน ชอบวิวาท  ชู้สาวยาเสพติด และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าทางสังคมที่ผู้ใหญ่ตั้งไว้

         บางครั้งการมองในมุมมองนี้  อาจดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร...แต่ถ้าลองใช้แนวคิดทางด้านสังคมวิทยามาศึกษาดูบ้าง....อาจมีปัญหา...

         เพราะว่าเรากำลังประทับตราเด็กไปแล้วว่า...คุณเป็นคนเสี่ยง.....เพื่อน ๆ ต้องระวังในการคบค้าสมาคม.และคุณต้องได้รับการบำบัดอย่างเร่งด่วน คุณคือตัวปัญหา...

         แนวคิดเรื่องประทับตราทำให้คนท้อแท้สิ้นหวังมามากต่อมากแล้วไม่ว่าถูกตราหน้าว่าเป็นพวกสลัม แหล่งเสื่อมโทรม  เป็นพวกที่อยู่ในเขตหมู่บ้านยากจนหนาแน่น  หรือเป็นหมู่บ้านสีแดงมากมายไปด้วยการก่อการร้าย  เป็นต้น

         อันที่จริงแล้วการดูแลนักเรียนมีวิธีอื่นอีกมากมายกว่าการประกาศหรือหามาตรการจับเด็กเสี่ยงมาแก้ไข  ถ้ารู้และเข้าใจพื้นฐานของเด็ก  พื้นฐานของการพัฒนาคน 

         ไม่ต้องพูดถึงเด็กเสี่ยงเลยถ้าเราจัดกิจกรรมที่เด็กชอบเรียน  สร้างความรักความอบอุ่น  สนับสนุนทุนทางการเงินและกำลังใจให้กับเขาเหล่านั้น…  ร่วมมือชุมชนสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี....ลดการเฆี่ยนตีและหันมามองเด็กในเชิงบวกกันบ้าง...เราก็จะสามารถพัฒนาคุณภาพเด็กได้

           ดีกว่าจับเด็กไปอบรมแล้วประกาศว่า..พวกเธอเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงนะมองดูเท่ห์แต่ไม่เกิดผลหรอกครับ...เพราะไม่มีใครอยากเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงนั่นเอง และไม่สนุกเลยที่ลูกหลานของเราจะถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง.....

หมายเลขบันทึก: 301282เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2009 17:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 09:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ขอสนับสนุนความคิดนี้ครับคุณครูนพพล
  • ครูและนักการศึกษา ต้องคิดถึงเด็กอย่างเป็นลูก หากสำนึกว่าเป็นลูกหลานตนเอง ก็คงไม่มีใครอยากให้ลูกตนเองถูกตีตรา
  • เด็กๆต้องรับรู้ตนเองอย่างดูถูกตนเองและเป็นคนอื่นของคนที่อยู่รอบข้าง 
  • ส่วนเด็กและสังคมรอบข้างแทนที่จะเป็นวงสังคมที่ดึงเด็กกลับได้ดีที่สุด ก็กลับจะเป็นสภาพแวดล้อมที่คอยตอกย้ำ ซ้ำเติม และเป็นสภาพแวดล้อมถีบส่งให้เด็กที่ถูกตีตรา นอกจากจะกลับเข้าสู่สังคมได้ยากแล้ว ก็อาจจะต้องเลือกไปในทางที่แย่กว่าเดิมซึ่งตนเองก็ไม่ต้องการ แต่สังคมรอบข้างทำให้ต้องเลือกเป็นไปอย่างนั้น
  • เคยเห็นรูปแบบหนึ่งในสถานศึกษาทำคือ ค้นหากลุ่มเสี่ยงแล้วให้เด็กๆเป็นกลุ่มเฝ้าระวังกันเอง เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย กลุ่มที่ถูกเฝ้าระวังจะไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้อื่นจัดการ
  • ส่วนกลุ่มที่เฝ้าระวังก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังเรียนรู้ที่จะใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและแฝงจิตใจความรุนแรงของผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า กระทำต่อเพื่อน

มาชม

เห็นอกเขาอกเราเลยนะครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท