เพราะเงินหรือโภคทรัพย์นั้นแสวงหามาได้ก็ด้วยความลำบาก และบางคนก็ได้มาโดยไม่ชอบธรรม นั่นคือประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม หรือผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม ข้อนี้จัดว่าเป็นการกระทำที่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่จัดว่าดำรงอยู่ในอริยธรรมคือธรรมของผู้เจริญแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง แม้เงินหรือโภคทรัพย์ที่ได้มาแล้วนั้น จะชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม แต่ก็ได้ใช้จ่ายอย่างไม่ชอบธรรม คือใช้จ่ายผิดลำดับความสำคัญตามนัยที่ได้แสดงมาแล้วทั้งหมด เช่น ให้ความสำคัญของคนนอกบ้านมากกว่าคนในบ้าน คือให้ความสำคัญแก่เพื่อนฝูงมากกว่าพ่อแม่หรือลูกเมีย ดังนี้จัดว่าเป็นการทำตนให้เดือดร้อน ไม่จัดว่าดำรงอยู่ในอริยธรรมคือธรรมของผู้เจริญแล้ว
หรือให้ความสำคัญแก่การทำบุญกับพระภิกษุสามเณรที่เป็นอลัชชีไม่มีความละอาย ชอบทำบุญกับคนทุศีลประเภทนี้เพื่อเอาหน้าเอาตา แต่ไม่เคยนำพาช่วยเหลือญาติพี่น้องหรือมิตรสหายผู้เป็นที่รัก หลีกเลี่ยงหรือโกงภาษีของรัฐ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวในเรื่องอื่นๆ เป็นต้น ครั้นเมื่อประสบความเดือดร้อนในภายหลัง หลายๆ คนต่างก็พากันหมางเมิน ไม่มีใครยอมช่วยเหลือ บางคนเที่ยวบ่นเพ้อว่า “ทำบุญไม่ได้บุญ” เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่าบุญทานที่ทำไปแต่ก่อนนั้นผิดลำดับในการจัดความสำคัญการจ่ายเงิน ไม่ดำรงอยู่ในอริยธรรมคือธรรมของผู้เจริญแล้วเช่นเดียวกัน
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสคาถาสุดท้ายไว้ในอาทิยสูตรว่า
ในการดำเนินชีวิตจริง มีความหลากหลาย ซับซ้อน ไม่นิ่ง คือเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา การบริหารโภคทรัพย์หรือการใช้จ่ายเงินก็เช่นเดียวกัน ยากยิ่งนักที่จะนำเอาอรรถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดงให้ครบถ้วนและครอบคลุมทุกประการได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าประโยชน์ของการใช้เงิน การจัดลำดับการใช้เงิน และการใช้จ่ายเงินมิให้เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง จักบังเกิดผลแน่นอน ถ้าใครก็ตามใช้แนวทางตามอาทิยสูตร ซึ่งผู้เขียนได้ขยายความมาพอให้เห็นเป็นแนวทางโดยประการฉะนี้
นมัสการพระอาจารย์ครับ
เงินเป็นเครื่องมือให้มนุษย์โลกย์ ใช้แลกเปลี่ยนความอยาก(กิเลส)...เงินกลายเป็นกิเลสใหญ่(ที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน)เสียเอง...โลกจึงปั่นป่วนไปด้วยเงิน เป็นธรรมดา...
กราบ 3 หน
ผมเห็นด้วยกับพระคุณเจ้า จนไม่มีคำแสดงความคิดเห็นใดๆอีก ผมอ่านทุกตอนครับ