ความสำคัญของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่างๆ เพื่อใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่จะให้การศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สำคัญยิ่งคือ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศและดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข
วิสัยทัศน์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
วิสัยทัศน์เป็นมุมมองภาพในอนาคตที่มุ่งหวังว่าจะมีการพัฒนาอะไร อย่างไร ซึ่งจะสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนของสังคม วิสัยทัศน์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา ผู้เรียน และชุมชนร่วมกันพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์ และปฏิบัติร่วมกันสู่ความสำเร็จการกำหนดวิสัยทัศน์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ใช้กรอบความคิดในเรื่องการพัฒนาการศึกษาเพื่อเตรียมคนในสังคมแห่งความรู้และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังนี้
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับทั้งความรู้ กระบวนการเจตคติผู้เรียนทุกคน ควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริม ให้สนใจและกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีความสงสัย เกิดคำถามในสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติรอบตัว มีความมุ่งมั่น และมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล นำไปสู่คำตอบของคำถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ข้อมูลอย่างมีเหตุผล สามารถสื่อสารคำถาม คำตอบ ข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบจากการเรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากความรู้วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องเรียนรู้เพื่อนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตและการประกอบอาชีพ เมื่อผู้เรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์โดยได้รับการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นท้าทายกับการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหา มีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ก็เข้าใจและเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับวิชาอื่น และชีวิต ทำให้สามารถอธิบาย ทำนาย คาดการณ์สิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล การประสบความสำเร็จในการเรียนวิทยาศาสตร์ จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจ มุ่งมั่นที่จะสังเกตสำรวจตรวจสอบ สืบค้นความรู้ ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจึงต้องสอดคล้องกับสภาพจริงในชีวิต โดยใช้แหล่งเรียนรู้หลากหลายในท้องถิ่น และคำนึงถึงผู้เรียนที่มีวิธีการเรียนรู้ ความสนใจและความถนัดแตกต่างกัน
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐาน เป็นการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจ ซาบซึ้งและเห็นความสำคัญของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้หลายๆด้าน เป็นความรู้แบบองค์รวม อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาคุณภาพชีวิต มีความสามารถในการจัดการ และร่วมกันดูแลรักษาโลกธรรมชาติอย่างยั่งยืน
กาลิเลโอ: บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เอามาฝากค่ะพี่แต๋ม...
มองวิทยาศาสตร์แบบศิลปะ
ในสมัยที่ผมเรียนมัธยม หรือจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
วิทยาศาสตร์กับศิลปะศาสตร์นั้น ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันใดๆกันเลย
วิทยาศาสตร์ดูเหมือนเป็นวิชาที่ศึกษา เรื่องที่อยู่รอบๆตัวเรา ตอบคำถามโดยการใช้เหตุและผลมาอธิบาย
ส่วนศิลปะนั้น ดูเหมือนเป็นการตอบคำถามโดยใช้อารมณ์ และความรู้สึกเสียมากกว่า
จึงไม่น่าแปลกอะไรถ้าคนหลายๆคนจะเก่งแค่ทางด้านใดด้านหนึ่ง แน่นอนหมายถึงตัวผมเองด้วย
ตั้งแต่เด็กผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ถนัดทางด้านศิลปะอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป, เล่นดนตรี, ร้องเพลง, เขียนหนังสือ, หรือแม้แต่ความถนัดทางภาษา
แต่จะไปถนัดทาง คณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์เสียมากกว่า
จนมีโอกาสได้ศึกษาวิทยาศาสตร์ลงลึกจนมาถึงปัจจุบันก็พบว่า วิทยาศาสตร์นั้นก็คล้ายๆกับศิลปะแขนงหนึ่งนั้นเอง
ต่างกันที่วิทยาศาสตร์ไม่ได้มานั่งมองภาพวาด หรือรูปปั้น แบบศิลปะ แล้วอธิบายว่าภาพนี้สวยแบบไหน
ใช้เทคนิคไหนในการวาดรูป หรือการวาดภาพแบบนี้เกิดในช่วงยุคไหน สังคมหรือศาสนามีอิธิพลอย่างไรต่อผลงาน
แต่ในทางกลับกัน นักฟิสิกส์ ก็ศึกษาว่าธรรมชาติออกแบบผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าโลกนี้ได้อย่างไร
นักเคมี ศึกษาว่าโครงสร้างของสีต่างๆที่ธรรมชาติใช้มีอะไรบ้าง และธรรมชาติสร้างสีต่างๆได้อย่างไร
นักชีวะวิทยา ศึกษาว่าทำไมธรรมชาติถึงได้จัดสรร สิ่งมีชีวิตต่างๆได้อย่างลงตัว
หรือไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสิ่งมีชีวิตต่างๆให้มีอวัยวะที่เหมาะสม และลงตัวกับความจำเป็นต่อชีวิตมัน
หรือแม้แต่นักคณิตศาสตร์ ก็คิดค้นภาษาเริ่มต้น ที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
โดยใช้ตัวเลขแทนตัวอักษร และสมการแทนไวยากรณ์
จะว่าไปแล้ว วิทยาศาสตร์ก็คือการศึกษาศิลปะของธรรมชาตินั้นเอง
สรุปสำหรับคนที่ไม่ชอบวิทยาศาสตร์ ลองหันมามองมันแบบศิลปะ แล้วอาจจะสนุกกับมันมากขึ้นก็ได้นะครับ
ขอบคุณที่มา...
http://mavichak-r.spaces.live.com/blog/cns!1BB1EF30E3AE8C2A!221.entry
ตามพี่อ้อยมาอ่านครับ
สวัสดีค่ะ...วิทยาศาสตร์เป็นส่วนพื้นฐานของชีวิตที่จะนำไปสู่โลกจินตนาการที่กว้างใหญ่ไพศาล ขอบคุณค่ะที่เจาะรหัสความสำคัญของวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
น้องแมวเหมียวพาพี่ชาย รองหนานมาเยี่ยมพี่แต๋มค่ะ
เก่งจังเลย นักวิทยาศาสตร์ของพี่ หายไปนานต้องมาตาม อย่ลืมไปคุยกะพี่บ้าง คิดถึงนะจ๊ะ พี่ส่งงานแล้วกำลังเหงาจ้า
แวะมาเยี่ยมค่ะ.....
ไม่ค่อยสันทัดเรื่องวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย ^_^
สู้ๆ นะคะ
อยากมีความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
วิทยาสาตร์มีประโยช์ต่อชีวิตประจำวันอย่างไร