เรียนให้เป็น เล่นให้ถูก ลูกต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง


พี่วั้น-นักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง สอบเสร็จก่อนที่จะปิดภาคแล้วกลับบ้าน มาพักผ่อนที่บ้านเกือบ 2 อาทิตย์ ได้ตัดผมให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นหน่อย เพราะเป็นคนผมยาวและหยิก แถมด้วยไม่ค่อยขยันหวีก็เลยดูพะรุงพะรังมากๆ คุณแม่เห็นหัวลูกทีไรก็ต้องคว้าหวีมากวาดให้ทุกที ได้ฟังลูกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เหมือนที่เคยเป็น ก็ได้รู้ว่ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เปลี่ยนลูกเราไปจากที่เขาเคยเป็นเลย

ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบที่เราจะสังเกตว่าลูกปิด MSN ที่ชอบเปิดไว้คุยเร็วกว่าปกติ และบอกว่าอ่านหนังสือจะสอบ แต่ก่อนหน้านั้นก็เล่าว่า เข้าร่วมกิจกรรมสารพัดอย่าง เป็นสมาชิกชมรมประสานเสียง เป็นฝ่ายสันทนาการ เรียกว่าฟังแล้วลูกยุ่งกับงานสารพัด มีไปเข้าค่าย 2-3 ครั้งที่ต่างจังหวัดช่วงเสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาก็เรียนตามปกติ เย็นก็ทำกิจกรรมบ้าง เล่นกีฬาบ้างกลับหอดึกๆแทบทุกวัน คุย M ก็ดึกๆ คุณแม่นอนเที่ยงคืนกว่าๆเป็นประจำ ก็รู้สึกว่าลูกจะอยู่ยาวกว่านั้นแทบทุกวัน ก็จะ M ถามเขาเรื่อยๆว่าแล้วเรียนรู้เรื่องเหรอลูก เขาก็ตอบว่า วิชาเดิมๆที่เคยเรียนแล้ว (มีนินทาอาจารย์บ้างเล็กน้อย) แถมวิศวะของสถาบัน SIIT เขามีเรียนชีวะอีกต่างหาก บ่นกันอู้เลย ถามพี่วั้นก็บอกว่า นั่งหลังๆและหลับ แต่ตอนพักเบรคก็มานั่งอ่านเอง หรือไม่ก็อ่านมาแล้วบ้าง (เห็นพี่วั้นเล่าว่า เพื่อนแซวว่าแล้วจะเข้าไปนั่งหลับทำไม) แต่เท่าที่คุยกันก็พอจะเชื่อใจว่าลูกรู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรยังไง เขาวางแผนของเขาเองว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่

ช่วงสอบก็ได้คุย M บ้าง ก็เจอว่าพี่วั้นบ่นบ้าง มีอยู่หนึ่งวิชาที่บอกว่าเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วไปให้เพื่อนที่เก่งๆวิชานั้นติวให้ ตัวพี่วั้นเองก็มีเพื่อนที่เรียนอ่อนมากมาให้ช่วยติว เรียกว่าเตรียมตัวสอบแบบเป็นกลุ่มๆมากกว่าฉายเดี่ยว

ผลสอบออกมาเมื่อ 2-3 วันนี้เอง พี่วั้นได้ A 5 ตัว B+ 3 ตัว เรียกว่าดีใจจนออกนอกหน้าทีเดียว เพราะหลังสอบวิชาที่ได้ B+ นั้นพี่วั้นถึงกับโทรมาหาคุณแม่ (ซึ่งปกติจะไม่ค่อยทำ) เล่าด้วยเสียงเศร้ามากว่า "แม่ วั้นทำไม่ค่อยได้เลย สงสัยจะตก mean" พี่วั้นกังวลมากเรื่องนี้ เพราะเขาเป็นนักเรียนทุนที่มีข้อแม้ว่า หากได้เกรดต่ำกว่า 2.75 จะถูกตัดทุน และการตัดเกรดของที่นี่นั้น ใช้วิธีอิงกลุ่มและไม่ให้มี A เกิน 10% ของนักเรียน ทำให้คนเรียนๆเล่นๆแบบพี่วั้นเป็นกังวลมาก

ฟังลูกคุยเล่าเรื่องวิธีการเรียน การเตรียมตัวสอบที่เขาเองได้ติวให้เพื่อนคนหนึ่งซึ่งผลสอบครั้งแรกแย่มากๆ 1 อาทิตย์ก่อนสอบแล้วเพื่อนเกรดตีตื้นขึ้นมาอย่างมาก ต่างจากเพื่อนในกลุ่มนั้นคนอื่นๆ เห็นเขาดีใจเรื่องนี้ พอๆกับที่ตัวเองสอบได้ผลดีแล้ว คุณแม่เองรู้สึกปลื้มใจ บอกตัวเองได้ว่า คิดถูกที่ไม่พยายามไปแนะนำอะไรลูกจนเกินไป ยังคงทำหน้าที่รับฟังและให้กำลังใจมากกว่าที่จะชี้นำอะไรลูก เชื่อมั่นว่าเขามีพื้นฐานการคิด การวางแผนจัดการกับตัวเองได้อยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นเขาก้าวผ่านด่านแรกมาได้อย่างดีกว่าที่คาดหมาย ก็เพิ่มความเชื่อมั่นว่าลูกเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วที่จะ เรียนให้เป็น เล่นให้ถูก ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ากับการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย สอบผ่านทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ (เรื่องหลังนี้วัดได้จากความสัมพันธ์กับสังคมและเพื่อนๆค่ะ)

มายืนยันให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายที่ลูกยังเล็กๆว่า สอนให้ลูกมีระเบียบวินัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต เปิดโอกาสให้เขารับผิดชอบตัวเอง ดูแลตัวเอง จัดการชีวิตตัวเองตามจังหวะชีวิตและช่วงวัยของเขา เด็กๆคิดเป็น ทำเป็นแน่นอน เราพ่อแม่มีหน้าที่ให้กำลังใจและเป็นตัวอย่างที่ดี ห้ามในสิ่งที่ต้องห้าม ช่วยในสิ่งที่ควรช่วย เด็กๆทั้งหลายมีศักยภาพที่จะต้องให้เขาเรียนรู้ในสิ่งที่เขามี เขาเป็นด้วยตัวของเขาเองมากมายนะคะ เราพ่อแม่ต้องเชื่อมั่นว่า เขาทำได้เองแม้จะไม่มีเรา แล้วเขาจะทำได้แน่นอนค่ะ  

หมายเลขบันทึก: 307602เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2009 23:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 10:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณโอ๋-อโณ

มาแวะอ่านเรื่องราวดีๆของครอบครัว....จุดเริ่มต้นที่ดีและมั่นคงของเด็กคือการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ค่ะ การที่เขามีวินัยในตนเองจะทำให้เป็นผลดีต่อตนเองและส่วนรวม...คนเป็นครูอ่านแบบนี้แล้วดีใจค่ะ

สวัสดียามเช้าค่ะ...

  • เปิดพื้นที่ และเปิดโอกาส เป็นสิ่งสำคัญ
  • ทำให้เด็กได้รู้จักใช้ "ความคิด" ของเขาเอง
  • และเมื่อวันต่อไปก็สามารถใช้ความคิดในการดำเนินชีวิตต่อไปค่ะ
  • ชื่นชมค่ะ *^_^*

 

สวัสดีค่ะ

  • พี่คิมและน้องนัทกลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัยค่ะ
  • ยังคิดถึงเสมอนะคะ
  • อ่านเรื่องของน้องวั้น...แล้วน่ารัก มีความสุขตามไปด้วย
  • ขอเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
ปฐมธิดา ชิโนณะวณิก

ตามมาอ่านด้วยนะคะ....มาจากบล็อคคุณหมอธนพันธ์ค่ะ

พยายามอยู่ค่ะเรื่องระเบียบวินัยแต่บางอย่างยังไม่สำเร็จ

ที่ทำได้เช่น รู้ว่าต้องแปรงฟันก่อนนอน(แต่ตื่นนอนยังไม่สำเร็จ)

ทานข้าวบนไฮแชร์ เมื่อก่อนนั่งคาร์ซีทตลอดแต่เดี๋ยวนี้เฉพาะตอนหลับและตอนไปเนอสเซอร์รี่

เรื่องที่ลำบากมากคือการพาเข้านอน กับเรื่องไม่ตื่นกลางดึก(ดูดนมแม่อยู่)

ลูกชายชื่อน้องฟูจิค่ะ อายุ 2 ขวบ 5 เดือน

ขอบคุณคุณครู noktalay ที่มาแวะเยี่ยมเยียนตั้งแต่ลงบันทึกใหม่ๆเลย เห็นใจคุณครูทุกท่านที่ต้องมาช่วยกันดูแลเด็กๆจำนวนมากมายเหลือเกิน อัตราส่วนครูต่อเด็กของบ้านเรานั้น จะหวังพึ่งคุณครูทั้งหมดในการอบรมเลี้ยงดูเด็กๆคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ค่ะ ครอบครัวต้องเป็นหลักเราจึงจะสร้างสังคมที่เข้มแข็งได้จริงๆค่ะ

อ. พิชชาก็คงมีส่วนในการสร้างสรรค์เยาวชนดีๆให้ชาติบ้านเมืองของเราได้ไม่น้อยนะคะ น่ายินดีด้วยเช่นกันค่ะ

ขอบคุณกำลังใจจากพี่ ครูคิม มากๆค่ะ ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่พี่ครูคิมลงมือทำจริงต่ออนาคตของชาติก็เป็นกำลังใจที่ดีมากในการช่วยกันสร้างคนดีๆให้สังคมค่ะ ส่งกำลังใจมาให้พี่ครูคิมเกินร้อยเสมอค่ะ

อ่านแล้ว (จากบล็อกอ.หมอแป๊ะด้วย) รู้สึกได้ถึงความสุขในการเลี้ยงน้องจิของคุณปฐมธิดามากเลยค่ะ เเผลอแป๊บเดียวเวลาแห่งความสุขนี้ก็จะเป็นความทรงจำดีๆที่เราได้แต่ทบทวนเท่านั้นเองเองค่ะ ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท