"คำของพ่อ"


“เกิดเป็นคนต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน มีความซื่อสัตย์ ขยัน ต้องพูดความจริง อย่าทำให้คนไข้เสียใจ และตั้งใจรักษาให้เต็มที่”

"คำของพ่อ"

 

“เกิดเป็นคนต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน  มีความซื่อสัตย์  ขยัน ต้องพูดความจริง อย่าทำให้คนไข้เสียใจ และตั้งใจรักษาให้เต็มที่”  ฉันจำคำพูดนี้ได้จนขึ้นใจ 

      เมื่อเรียนจบแพทย์ศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเพราะความคิดถึงบ้านและต้องการกลับมาทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดตนเอง   แล้วก็สมปรารถนาเมื่อได้รับคำสั่งกระทรวงให้มาปฎิบัติงานที่จังหวัดพิษณุโลก   ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงานคำของพ่อที่ให้โอวาทไว้ดังก้องอยู่ในห้วงคำนึงของฉันและได้ยึดหลักคำสอนนี้มาตลอดชีวิตของการทำหน้าที่เป็นแพทย์หรือการทำงานในหน้าที่อื่นๆที่ได้รับมอบหมาย                 

      คำว่า  “ ต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน”   นั้นเป็นประโยคที่ตีความได้กว้างมากและเป็นคติเตือนใจที่คนจีนยึดถือและปฎิบัติ สืบต่อเนื่องกันมา   ในช่วงแรก ๆ ก็ยังงง ๆ อยู่ว่าต้องทำอย่างไรนะ   แต่ก็คิดว่าในเมื่อเราเกิดเป็นคนไทยและโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เราได้เรียนหมอ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับโอกาสมากกว่าคนอี่นแล้ว  เพราะการทำหน้าที่หมอนั้นถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เนื่องจากเป็นหน้าที่ที่ต้องรักษาชีวิตผู้อี่น  และต้องไม่ทำให้คนไข้เสียใจต้องรักษาคนไข้ให้เต็มที่   ดังนั้นในแต่ละวันของการทำงานฉันจึงตั้งใจตรวจคนไข้และพูดคุยกับคนไข้ที่มารับการตรวจรักษา เพราะต้องการรู้จักวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไข้  และเราเองก็จะได้เรียนรู้และเข้าใจว่าทำไมคนไข้ถึงป่วยและทำไมคนไข้เพิ่งเดินทางมาถึงในช่วงเวลาที่เราคิดว่าไม่น่าจะมา  เช่น ผู้ป่วยมาขอรับการรักษาในช่วงกลางคืนทั้งที่ไม่ใช่โรคต้องรักษาฉุกเฉิน พอเราได้พูดคุยกับคนไข้ก็ได้รับทราบว่ากลางวันต้องไปทำงานรับจ้างพอกลับมาถึงบ้านมาเจอลูกป่วยกว่าจะหารถมาได้ก็ใช้เวลามากจึงต้องมารับการรักษาในเวลากลางคืน  หรือในบางวันปริมาณคนไข้ที่ต้องตรวจที่ OPD มีจำนวนมากทำให้แทบไม่มีเวลาได้ทำกิจกรรมอื่นๆในรพ. ก็ได้รู้ว่าที่นี่รถสาธารณะไม่มีทำให้ผู้ป่วยต้องรวมตัวและนัดกันมาในวันเดียวกันจะได้ช่วยกันจ่ายค่าเหมารถมาโรงพยาบาล  เมื่อได้ทราบดังนั้นเราที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์ก็ต้องพยายามตรวจคนไข้ให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เพื่อที่คนไข้จะได้กลับบ้านได้และมีเวลาไปทำอย่างอื่น การที่ต้องให้คนไข้มารอหมอนั้นสำหรับฉันแล้วจะถือเป็นคติเลยว่าจะพยายามไม่ให้คนไข้มารอเรา  ถ้าเรายอมทานข้าวกลางวันช้าไปอีกนิดเดียวแต่คนไข้หลายคนได้กลับบ้านเร็วมันก็คุ้มค่า ( นี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อได้ปลูกฝังไว้ ) 

    เวลากลางคืนเมื่ออยู่เวรเมื่อถูกตามก็จะมาดูคนไข้ตลอด  จำได้ว่าสมัยก่อนจะไม่มีค่าอยู่เวร    ( บ่งบอกถึงอายุการทำงาน ) แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญที่จะปฏิเสธไม่มาดูคนไข้   คงเพราะคำของพ่อยังก้องอยู่ในหัวของฉัน    ดังนั้นสมัยที่อยู่เวรจะเปิดผ่าตัดตอนกลางคืนบ่อยมากโดยใช้การฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง     แต่ฉันก็ทำงานอย่างมีความสุขและทีมงานทุกคนก็ทำงานด้วยความสุขสนุกสนานความสุขนี่เองที่เป็นค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่   การได้เห็นรอยยิ้มของญาติและของคนไข้  เด็กทารกเกิดมาอย่างปลอดภัย  คนไข้มีความปลอดภัยจากการรักษานั่นเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินที่จะได้รับ    ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขที่เต็มตื้นขึ้นมาในใจของฉัน  และฉันยังคงทำอย่างนี้มาหลายปี   แม้กระทั่งตอนตั้งครรภ์ลูกคนแรกก็ยังมาช่วยทำคลอดให้คนไข้ ( ขณะที่เราก็ใกล้คลอดเต็มที ) ต้องมา CPR คนไข้จนเกือบจะแท้งลูกคนแรกไป จำได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะอยู่เวรช่วงสงกรานต์เพราะตารางเวรมันลงล๊อคเป็นชื่อเราพอดี   และไม่กล้าขอแลกเวรกับหมอรุ่นน้องโดยอ้างว่าท้องก็ให้รู้สึกเกรงใจน้องขึ้นมา  จึงอยู่เวรเอง  เมื่อ CPR เสร็จก็มี Bleeding per vagina  จึงต้องรีบพักทันทีแถมโดนสามี ( ซึ่งเป็นคุณหมอเด็ก )บ่น    แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิตชอบก็ยังต้องทำงานรักษาคนไข้อยู่  ฉันเฝ้าภาวนาและบอกลูกในท้องว่า    “เมื่อหนูเกิดมาเป็นลูกหมอหนูต้องอดทนนะ”  ในที่สุดก็คลอดลูกคนแรกมาอย่างปลอดภัยก็คิดว่าคงเป็นเพราะผลบุญที่เราได้ทำกับคนไข้ด้วยใจบริสุทธิ์ทำให้ตนเองคลอดง่ายมากและลูกปลอดภัยดี 

ในขณะที่ทำงานไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วยนั้นต้องขอบอกว่าหนักมาก  เมื่ออยู่เวรก็ต้องอุ้มลูกขึ้นมาดูผู้ป่วยด้วยกัน   เข้า OR  หรือเข้าห้องคลอดด้วยกันจนลูกสาวคนโตซึมซับภาพต่างๆไปโดยไม่รู้ตัวและจำฝังใจจนมีความคิดไม่อยากแต่งงานเพราะกลัวการคลอดลูก จนทำให้ฉันต้องพยายามทำความเข้าใจกับลูกเพื่อไม่ให้เกิดปมในใจซึ่งลูกก็รับฟังและเข้าใจดีในปัจจุบัน

  เมื่อมีลูกคนที่สองก็ยังทำเหมือนเดิมนั่นคือทำ C/S เข้า OR ทำ Appendectomy  จนใกล้คลอดก็เลิกทำเนื่องจากขณะตั้งครรภ์มีภาวะ Premature  contraction  ต้องรับประทานยา  Bricanyl เมื่อรับประทานยาตนเองเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ( Atrial  fibrillation ) ยิ่งรับประทานยายิ่งใจสั่น   เวลาทำการผ่าตัดคนไข้เห็นคนไข้มี Bleeding ตัวหมอเองจะไปก่อนคนไข้เนื่องจากใจเต้นเร็วมากจึงคิดในใจว่า case นี้จะเป็น case สุดท้ายที่จะผ่าตัดเนื่องจากสังขารไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งโรงพยาบาลเราไม่มี blood bank และเริ่มมีการฟ้องร้องหมอมากขึ้นคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา  

เมื่อตัดสินใจอย่างนี้คนที่ดีใจที่สุดน่าจะเป็นสามีเพราะเค้าจะเครียดมากเวลาเราไม่สบายแต่คนอี่นไม่ทราบเนื่องจากไม่เคยบอกใคร   เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการได้ทดแทนบุญคุณแผ่นดินในหน้าที่ของแพทย์  เมื่อถึงคราวที่ได้รับบทบาทเป็นผู้อำนวยการจึงพยายามสร้างและนำองค์กรไปในทิศทางที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับองค์กรในสถานการณ์นั้นและยึดหลักคำของพ่อในด้านความซื่อสัตย์มาใช้ตลอดเวลา   เนื่องจากเป็นตำแหน่งผู้บริหารถ้าไม่มีความซื่อสัตย์คงเป็นผู้บริหารที่ดีไม่ได้และเป็นการทำร้ายแผ่นดินด้วย    การเป็นผู้อำนวยการที่ดีนั้นเป็นเรื่องยากมากเนื่องจากไม่สามารถตัดสินใจให้ถูกใจทุกคนได้  สิ่งที่ฉันยึดมั่นคือหลักความถูกต้อง ซื่อสัตย์  และให้อภัยมาใช้ในการบริหารองค์กรและค่อยๆสร้างวัฒนธรรมองค์กรขึ้นมา  นอกจากนั้นคำของพ่อที่สอนเราอีกเรื่องหนึ่งคือ “ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา”  ต้องไม่ใช้งานลูกน้องนอกเวลางานโดยไม่มีเหตุจำเป็นและต้องให้เกียรติลูกน้องซึ่งผู้เขียนเองก็นำมาปฎิบัติจนถึงปัจจุบัน

       เมื่อได้ปฎิบัติตามคำของพ่อที่สอนไว้จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับผลบุญนั้นคือตัวเราเอง เพราะทุกวันนี้ฉันสามารถอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้อย่างมีความสุขแบบพอเพียง  มีคนไข้ที่รักและศรัทธามีชุมชนที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย  มีเพื่อนร่วมงานที่ดีทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันนี้  และสุดท้ายคือการมีครอบครัวที่น่ารักและคอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน    ฉันนำคำของพ่อไปสอนลูกของตนเองเพื่อที่จะได้เติบโตไปทำความเจริญให้กับแผ่นดินและไม่เป็นภาระกับสังคมและประเทศชาติ

      ถึงแม้   ณ. วันนี้สังขารพ่อจะได้ละจากโลกนี้ไปแล้วแต่คำของพ่อจะจารึกอยู่ในใจของลูก  และจะมุ่งมั่นทำตามเจตนารมณ์ของพ่อให้พ่อได้ภาคภูมิใจว่าลูกคนนี้เกิดมาเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดิน เป็นที่พึ่งพิงด้านสุขภาพให้กับคนไข้ที่รักและศรัทธาในตัวลูกคนนี้ตลอดไป

 

            ขอบคุณค่ะ

           แพทย์หญิง ดวงรัตน์  เชี่ยวชาญวิทย์

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางกระทุ่ม

คำสำคัญ (Tags): #คำของพ่อ
หมายเลขบันทึก: 308828เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2009 10:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 10:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

เข้ามาอ่านด้วยความซาบซึ้งใจเกี่ยวกับพ่อของเราค่ะ

  • มาร่วมซาบซึ้งกับคำของพ่อค่ะ
  • ขอบพระคุณเรื่องเล่าดี ๆ  ที่บ่งบอกถึงความเสียสละทุ่มเทเพื่อคนไข้
  • ขออนุโมทนากับอีกหนึ่งอาชีพบุญค่ะ

ซาบซึ้งมากเลยครับ

อยากเป็นหมอเหมือนหมอจังเลยครับ

"ถ้าเรายอมทานข้าวกลางวันช้าไปอีกนิดเดียวแต่คนไข้หลายคนได้กลับบ้านเร็วมันก็คุ้มค่า"

^

^

ชอบตอนนี้มากค๊ะๆ

ไหมจะตั้งใจเรียนน้าแม่

วันนี้รู้ผลเรียนบางวิชา

ได้ ๔ หมดเลย (^w^)7

เหลือแค่วิชาพละนี่แหละ แฮ่ๆ

เดี๋ยวไหมจะไปสอบแก้วันศุกร์ ฮุๆ

ทุนทุนทุนนนนน !!

หมอทุ่มสุดตัวจริงๆ

รักพ่อค่าาาาาาาาาาาาาาาาา

(IP เพื่อนเม้นไม่ได้ค่ะ เลยเม้นแทน

)ทุ่มเทมากคับ

ยกย่องเลย

อุดมการณ์แรงกล้าครับอาหมอ^[]^

แต่รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

อาชีพหมอต้องอดทนขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

อยากให้ผู้ที่ได้ชื่อว่าแพทย์ ยึดถือแนวทางนี้ เหมือนคำสอนของสมเด็จพระบิดาคิดถึงประโยชน์ส่วนร่วมเป็นกิจหนึ่ง ประโยชน์ตนเป็นกิจสอง คนไข้ผู้น่าสงสารจะได้มีที่พึ่ง ขอชื่นชมคุณหมอเป็นตัวอย่างที่ดีของแพทย์ที่ทุ่มเทเสียสละ

ถ้าแพทย์ทุกคนปฏิบัติได้อย่างหมอก็คงจะดีมิใช่น้อย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท