เราท่านหลายคนคงไม่รู้ว่าร่างกายของเรานั้นเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญต่อการศึกษาอดีตเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นเหมือนกุญแจที่ช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้คน สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมในอดีต เมื่อมึข่าวว่ามีการพบโครงกระดูกโบราณแล้วชาวบ้านนำไปฌาปนกิจเพื่อให้วิญญาณได้ไปสู่ที่สุคติหรือไปขุดค้นเพื่อหาของที่อยู่ร่วมกับหลุมฝังศพ ทำให้จิตใจเราค่อนข้างห่อเหี่ยวเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราได้ทำลาย finger print ที่สำคัญของบรรพชนของเรา วันนี้จึงอยากเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเรื่องโครงกระดูกคนค่ะ
การศึกษาเรื่องมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในอดีต สามารถจะศึกษาได้โดยตรงจากโครงกระดูก นิเวศน์วัตถุ และโบราณวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบๆ โครงกระดูก
คนกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในอดีต
ในที่นี้โครงกระดูกเป็นแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบความกดดันจากสภาวะแวดล้อม เช่นการขาดอาหาร หรือ การเปลี่ยนแปลงระบบการดำรงชีพจากการหาอาหารตามธรรมชาติมาเป็นการทำเกษตรกรรม นักโบราณคดีจำเป็นต้องประมวลข้อมูลหลักฐานด้านเทคโนโลยีจากโบราณวัตถุ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทั้งนี้เพราะการเกษตรกรรมแบบเข้มข้นนั้นต้องใช้แรงงานมากในการปรับพื้นที่ การหว่านเมล็ดพืช
การเก็บเกี่ยว การนวดข้าว ถ้าปีใดได้พืชผลงามก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บางปีมีฤดูแล้งที่ยาวนาน การเพาะปลูกก็ล้มเหลว ก็จะส่งผลกกระทบต่อชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะทางด้านกายภาพ จะรบกวนการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก ตลอดจนมีผลต่อการสืบพันธุ์ หรือจัดว่าเป็นการคุมกำเนิดโดยธรรมชาติ และเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ
วิธีการที่นักมานุษยวิทยากายภาพใช้ในการตรวจสอบความกดดันของสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย คือ แฮริส ไลน์ (Harris lines) เป็นวิธีการตรวจสอบจำนวนเส้นขวางในกระดูก อันเกิดจากความกดดันเนื่องจากการขาดอาหาร โดยเอกซ์เรย์กระดูกส่วนยาวของร่างกาย วิธีการนี้จะตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพกับตัวอย่างของโครงกระดูกที่มีอายุอยู่ระหว่างแรกเกิดจนกระะทั้งอายุประมาณ 18 ปี
โภชนาการในอดีต
เมื่อโครงกระดูกถูกค้นพบจากการขุดค้น นักโบราณคดีจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับดินที่ทับถมรอบๆ โครงกระดูกนั้นๆ เพราะอาจจะมีร่องรอยของเมล็ดพืช เศษกระดูกขนาดเล็ก หรือละอองเรณูของพืชหลงเหลืออยู่
ฟันก็เป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องอาหารและการดำรงชีวิตในอดีต โดยเฉพาะการศึกษาร่องรอยของการสึกหรอของฟัน นอกจากนี้นักโบราณคดียังใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์อีก 2 วิธีมาช่วยในการศึกษาเรื่องโภชนาการจากโครงกระดูกคน คือ การวิเคราะห์ด้วยวิธีไอโซโทป (Isotopica analysis) และการวิเคราะห์การสะสมตัวของธาตุโลหะในกระดูก (Strontium)
วิธีแรก การวิเคราะห์ด้วยวิธีไอโซโทป จะช่วยจำแนกสารโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อยึดต่อกระดูก (collagen) วิธีการวิเคราะห์นี้จะช่วยบอกสารเคมีที่หลงเหลือในโครงกระดูก และอาหารที่คนกินเข้าไปว่าเป็นพืชที่เติบโตในแผ่นดินหรือชายฝั่งทะเล
วิธีที่สอง การวิเคราะห์การสะสมตัวของธาตุโลหะในกระดูกนั้น ช่วยให้ทราบว่า ถ้าคนกินผักเป็นอาหารหลัก จะพบธาตุโลหะในอัตราส่วนที่มาก ขณะเดียวกัน ถ้าคนกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก อัตราการสะสมของธาตุโลหะจะน้อย
อย่างไรก็ดี ถ้าเราต้องการทราบรายละเอียด เช่นชนิดของพันธุ์พืช หรือสัตว์ที่คนโบราณกินเข้าไป เราจำเป็นต้องอาศัยหลักฐานประเภทเมล็ดพืช กระดูกสัตว์ หรือละอองเรณูที่ได้จากการขุดค้นมาประกอบผลการวิเคราะห์ดวยวิธีไอโซโทปและการสะสมตัวของธาตุโลหะในโครงกระดูกด้วย
สุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บในอดีต
โครงกระดูกคนเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยนำไปสู่ความกระจ่างด้านสุขภาพของคนในอดีต การวินิจฉัย
โรคภัยไข้เจ็บนั้นนักมานุษยวิทยาต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านแพทย์ศาสตร์และต้องนำมาศึกษาเปรียบเทียบกับคนปัจจุบันที่ป่วยเป็นโรคนั้นๆ ด้วย
นอกจากโครงกระดูกจะเป็นกุญแจสำคัญที่บอกโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังสามารถช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับการบาดเจ็บในอดีตด้วย ซึ่งสามารถจะจำแนกอย่างคร่าวๆได้แก่ ร่องรอยที่แตกกแยกในกระโหลก ที่อาจจะเกิดจากการรักษา หรือร่องรอยที่เกิดจากการบาดเจ็บจากอุปกรณ์แหลมคม เป็นต้น
การประกอบอาชีพในอดีต
โครงกระดูกเป็นหลักฐานโดยตรงในการบ่งบอกการประกอบอาชีพในอดีต การศึกษาวิจัยสิ่งที่บ่งชี้ความกดดันที่เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพซึ่งปรากฏร่องรอยในโครงกระดูกนั้น จำเป็นต้องศึกษาร่วมกับสาขาวิชาอื่นๆ เช่นนิติเวชศาสตร์ ประชากรศาสตร์ ฯลฯ
สถานภาพทางสังคมในอดีต
นักโบราณคดีศึกษาและตรวจสอบระบบสังคมในอดีตด้วยการวิเคราะห์พิธีกรรมฝังศพ โดยตั้งข้อสันนิษฐานว่า บุคคลที่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากคนทั่วไปในขณะที่มีชีวิตอยู่ ย่อมได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกันเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ในสังคมที่ซับซ้อน กลุ่มชนที่เป็นชนชั้นผู้นำมักจะถูกตกแต่งหลุมฝังศพอย่างหรูหรา ประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภคบริเโภคและข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย
ไม่มีความเห็น