ต่อจากตอนบล๊อกที่แล้ว(เย็นวันจันทร์ ที่ 12 ตุลาคม 2552)
เมื่ออยู่ๆ คนพิเศษของผมมาบอกว่า ตัดสินใจว่า อยากจะเป็นเด็กแบบว่า... คือเป็นเด็กสำหรับไว้คลายเหงาให้กับพวกที่มีเงินหนาๆ หน่อย หรือพวกชนชั้นกลางที่มีความเหงา หรือ อยากเติมเต็มความรู้สึก...
ความจริงเรื่องนี้มันก็ไม่แปลกสำหรับผมหรอก เพราะเรื่องแบบนี้ผมรับรู้มาเยอะพอสมควร และคนที่มีหน้าตาดีหน่อยไม่ว่าผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย หันมาทำอาชีิพแบบนี้เยอะพอสมควร ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้เป็นสังคมแห่งข่าวสารที่รับรู้กันได้ง่ายผ่าน อินเตอร์เน็ต ก็ยิ่งทำให้เกิดอาชีพอย่างว่ามากขึ้นไปอีก
และผมเองก็ไม่แปลกใจสำหรับการตัดสินใจของคนพิเศษของผม เพราะคนใกล้ๆ ตัวเขาก็มีอาชีพแบบนี้เหมือนกัน...
คนพิเศษของผมบอกว่าอยากมีเงินไว้สร้างบ้านให้แม่ อยากทำอะไรหลายๆ อย่างให้พ่อแม่มีความสุข... เมื่อได้ดังนั้นแทนที่ผมจะโวยวาย หรือ คิดว่าสิ่งที่คนพิเศษผมคิดนั้นผิด ผมกลับนำถ้อยคำเหล่านั้นมาวิเคราะห์อย่างละเอียด... และมันก็ทำให้ผมไม่สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องได้... หรืออาจได้แต่ก็คงไม่มาก... เพราะสำหรับผมแล้ว ผมมาคิดว่าบางทีการคิดแบบนั้นอาจไม่ใช่เรื่องผิด... ซะทีเดียว...
และถ้าหากว่าผมจะยืนยันว่าความคิดแบบนั้นไม่ดีเอาซะเลย ก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าหากว่าผมไปรั้งความคิดแล้วเอาความคิดของตัวเองใส่ลงไป ใส่ความเห็นแก่ตัวลงไป แล้วยื้อคนที่ผมรักให้อยู่กับผมให้มากที่สุด... ซึ่งสุดท้ายผมอาจไม่มีค่าพอใดๆ สำหรับคนพิเศษที่จะยื้อมาไว้กับผมเลยก็ได้
ด้วยเหตุผลประมาณนั้นว่า ผมไม่มีสิทธิ์ไปกะเกณฑ์ชีวิตของคนอื่น...
มันเลยทำให้ผมเจ็บและอึ้งกับการตัดสินใจแบบนั้น
สุดท้ายสิ่งที่พอทำได้ก็คือว่า บอกความในใจออกไปว่าผมมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ และจะไม่ขอตัดสินชี้ขาดใดๆ ว่าสิ่งที่คนพิเศษของผมจะทำลงไปนั้นผิดหรือถูก...
แต่คนพิเศษของผมก็ตัดสินใจในท้ายที่สุดว่าไม่อยากทำแล้ว... เพราะแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างรวมทั้งตัวผมด้วย....
แต่จนมาถึงวันนี้... วันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ผมเองยอมรับว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนพิเศษของผมอาจแอบทำงานแบบนี้หรือเปล่า ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่อาจทราบได้เหมือนกัน แต่... ก็ไม่เป็นไร... เพราะผมพยายามบอกตัวเองเสมอว่าขอแค่ได้รักคนที่ผมรักก็เพียงพอแล้วสำหรับชีิวิตเหงาๆ(อยู่บ่อยๆ)แบบนี้
วันเสาร์ ที่ 31 ตุลาคม 2552
วันนี้คือวันสิ้นเดือน เป็นวันเงินออก และเป็นวันหยุด!!!
ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่ากรุงเทพฯ ในวันพิเศษแบบนี้มันจะวุ่นวายขนาดไหน!!!
ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่คนรีบๆ ซื้อ รีบๆ ไปทำธุระให้เสร็จๆ เหมือนกับกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ใช้เงินอย่างนั้นแหล่ะ
วันนี้เป็นวันที่ผมต้องทำงานอีกวันหนึ่ง และก็เหมือนเดิมคือ ผมคงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกับคนพิเศษของผมอีกเหมือนเดิม เพราะว่าผมเองก็มีอะไรที่ต้องทำหลายอย่างมากทีเดียวและในใจลึกๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมเท่าไหร่
และเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งที่คนพิเศษของผมจะทำสำหรับวันหยุดวันนี้ก็คงเหมือนเดิมคือ ออกไปหาเพื่อนและทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ
แต่พอมาตอนเย็นของวันนี้ กลับมาบอกผมว่า ต้องไปส่งหลานขึ้นรถที่หมอชิต ไม่รู้ว่าจะไปหาเพื่อนได้หรือเปล่าหรือว่าต้องนอนอยู่ห้องก็ไม่รู้
เมื่อต้องไปส่งหลานที่หมอชิต คนพิเศษก็โทรมาบอกว่า ผมไม่ต้องโทรไปหาเพราะว่าจะนั่งคุยกับหลานอยู่เดี๋ยวจะตื๊ดหาเอง และหลานจะต้องขึ้นรถไปนครนายกประมาณ สี่ทุ่มครึ่ง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเหมือนกัน
พอผ่านไปซักพัก จนเลยสี่ทุ่มครึ่งมานิดๆ แล้วก็ไม่เห็นมีใครโทรมาอย่างที่บอกไว้เลยผมก็เลยจัดการโทรกลับ ก็ไม่มีใครรับ โทรแล้วโทรอีก... จนรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติไปแน่ๆเลย...
แล้วคนพิเศษ ก็โทรมาหาผมตอนประมาณตีสามครึ่ง... บอกว่ากำลังร้องเพลงอยู่กับเพื่อนเลยไม่ได้รับโทรศัพท์....
ตอนนั้นผมคิดอยู่ในใจแล้วว่า... ใครเชื่อก็บ้าแล้ว....
สองสามวันหลังจากนั้นก็คือความเศร้า และรู้สึกจุกๆ เจ็บๆ และอึดอัด
ผ่านมาจนวันอาทิตย์เราต่างก็ซึมเศร้า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบอกมายังไงผมก็ยังไม่เชื่อ... แต่ในใจลึกๆ ก็พยายามบอกตัวเองไว้ว่า... ความรักของผมที่เกิดนั้นมันไม่ควรจะมีเงื่อนไขนี่หนา ผมรักเขาในแบบของผม ความรักคืออะไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่พอจะรู้คือ ความรักของผมถ้าผมจะมีให้ใคร เราก็ควรที่จะมอบความสุขความสวยงามให้แก่กันมากกว่า แทนที่จะเป็นเรื่องความหึงหวงหรืออะไรที่จะทำให้เราสองคนรู้สึกเย็นชาต่อกัน
วันต่อมาผมก็เริ่มทำใจและบอกตัวเอง ย้ำกับตัวเอง และสร้างความรู้สึกใหม่ ให้ความรักที่ผมที่มีต่อคนพิเศษนั้นเป็นความรักแบบ ... มีสติ .... น่าจะดีที่สุด
วันจันทร์ ที่ 2 พฤศจิกายน 2552
มาถึงวันนี้เราสองคนต่างก็ดีกว่าเดิมแล้ว
วันนี้เป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง คือ วันลอยกระทง แต่ละคนล้วนมีที่มีทางเป็นของตัวเองว่าจะไปไหนไปทำอะไรกับใคร แต่สำหรับผมก็คือ
คนพิเศษต้องทำงานกะดึกและเราก็อยู่ไกลกัน
ส่วนใหญ่กิจกรรมอะไรแบบนี้ผมมักจะต้องทำคนเดียวเสมอก็เลยคิดว่าไม่ไปลอยกระทงอะไรนี้ดีกว่า
แต่คนพิเศษของผม กลับมาพูดเรื่องนี้และพูดไปถึงอธิฐง อธิฐาน ถามผมว่าจะอธิฐานว่าอะไร... อิๆๆๆ ผมก็เลยแกล้งถามคืนไปว่า มีคำแนะนำมั้ย? อิๆๆๆ คำตอบที่ได้คือ อธิษฐานให้เรามีความรักที่ดีต่อกันไปนานๆ และรักตลอดไปซิ... อิๆๆๆ ผมเองก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยครับว่าจะได้ยินอย่างงั้น....
จากที่ไม่อยากไปลอยกระทง ก็เปลี่ยนใจซิครับ... ไปลอยกระทงอย่างมีจุดหมายกว่าเดิมพร้อมอธิษฐานให้ความรักของเราสองคนเป็นรักที่มีสติ และมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต เป็นความรักที่มีผลดีต่อคนที่เกี่ยวข้องด้วย... และอื่นๆ... อิๆๆๆๆ
และสำหรับงานที่วัดก็มีการจับฉลากแลกรางวัล ผมเองก็บอกตัวเองว่าถ้าได้รางวัลมาไม่ว่าจะได้อะไรก็จะบริจาคให้วัดไป... อิๆๆๆ
สุดท้ายก็ได้แก้วน้ำกับหม้อสำหรับใส่ข้าวแสตนเลส... อิๆๆๆ
ได้ทำบุญแล้วก็สบายใจจริงๆ
ตอนลอยก็ให้เงินเด็กน้อยที่มาจับๆ จ้องหาเงินตามกระทง ก็เลยให้ไป 15 บาท
...
หลังจากกลับมาจากลอยกระทง คนพิเศษก็โทรมาแล้วมาบอกแบบมีลับลมคมใน และบอกให้ผมตั้งใจฟังให้ดี เพราะจะวางหูแล้ว... อิๆๆๆ
ไอ้เราก็หัวใจตุ่ม ต่อมๆ ดิครับ สุดท้ายเสียงที่มาตามสายนั้นผมได้ยินใครบางคนพูดว่า I Love You อิๆๆๆ แล้วก็วางหูไปเลย 55555555 ^____^
ไม่มีความเห็น