เข็มทิศชีวิต...ฐิตินาถ ณ พัทลุง ตอนที่1


ที่มา...http://apichoke.com/index.php?topic=3941.0

เข็มทิศชีวิต..(ฐิตินาถ ณ พัทลุง)

คำนิยมเขียนโดยพระไพศาล วิสาโล

เย็นวันหนึ่งเมื่อกลางปีที่แล้ว ระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางกลับวัด สารถีผู้เอื้อเฟื้อขับรถพาข้าพเจ้ามาส่ง ได้เปิดเทปการบรรยายธรรมของอุบาสิกาผู้หนึ่ง เธอได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตอันลำเค็ญ ขณะที่ยังเป็นแม่ลูกอ่อนและกำลังเปิดบริษัทใหม่ได้ไม่ถึงเดือน สามีผู้เป็นหลักของครอบครัวก็ได้จากไป ทิ้งหนี้สินหลายสิบล้านบาทให้เธอแบกรับ ในวันขึ้นปีใหม่ ขณะที่ใครต่อใครสนุกสนานรื่นเริง แต่เธอต้องจัดงานศพให้สามีและต้องรับหน้าเจ้าหนีจากธนาคารต่างๆ ที่มาทวงเงินกลางงาน

ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่มาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ทำให้เธอแทบสิ้นหวังกับชีวิตขณะที่สับสนและอับจนหนทาง เธอได้มีโอกาสไปฝึกทำสมาธิภาวนาจากการแนะนำของกัลยาณมิตรผู้หนึ่ง แม้จะไมมีประสบการณ์มาก่อนและแม้จะทุกข์กับการปฏิบัติ แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เธอก็ได้ประจักษ์แก่ใจว่าทุกข์นั้นอยู่ที่ใจนั่นเอง เมื่อมีสติดูใจรู้ทันความยึดความอยากที่กำไว้อย่างลืมตัว ทางออกจากทุกข์ก็ปรากฏ

นับแต่วันนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป เธอได้นำเอาประสบการณ์ครั้งนั้นไปเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตและทำธุรกิจ ในเวลาเพียงแค่สามปีเธอก็ปลดเปลื้องหนี้สินได้ กิจการมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เธอไม่เคยละทิ้งการปฏิบัติธรรม นอกจากจะปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งอาทิตย์แล้ว ยังสนับสนุนให้พนักงานบริษัทของเธอไปฝึกทำสมาธิภาวนาด้วย ใช่แต่เท่านั้น เธอยังได้ช่วยให้คนที่ประสบความทุกข์อย่างเธอ กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความหวังและความสุข


คำนิยมของคุณหมอประเวศ วะสี

คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เป็นคนรุ่นใหม่ จบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ มีความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัว แต่ความเป็นอนิจจังก็ยังเข้ามาเยือน เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งสูญเสียสามีด้วย อันเป็นความทุกข์ท่วมท้นแบบทนไม่ได้ แต่เธอก็สามารถเอาชนะมันได้ กลับกลายเป็นคนมีสติรู้ รู้ใจตนเอง มีอิสระ มีความสุข มีความปรารถนาอยากให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากที่จมอยู่ในกองทุกข์ได้มี "เข็มทิศ " เป็นเครื่องนำทาง

ท่ามกลางชีวิตปัจจุบันอันเร่งๆ รีบๆ ตื้นๆ คร่าวๆ ผิวเผิน มนุษย์เข้าไปติดกับดักของชีวิต ไม่พบทางออก เพราะขาดปัญญา ถ้าสงบนิ่งและมีสัมผัสลึกๆ เช่นฟังอย่างลึกๆ รู้สึกลึกๆ คิดอย่างลึกๆ จะเกิดปัญญาที่ทำให้เป็นอิสระ การมีสติรู้ตัว รู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง คือกุญแจที่ทำให้เข้าถึงความจริงเป็นอิสระหลุดพ้นจากความบีบคั้นทั้งปวง

ต้นไฟ...                                                                                                                                             เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า มีแรงผลักพุ่งขึ้นมาในในเรา ผลักให้เราเดินไปโทรศัพท์หาเพื่อนเวลาเหงา ไปเปิดทีวีดู ออกไปข้างนอก เจ้าความรู้สึกโหยๆ กระวนกระวายลึกๆ ความเร่าร้อนเบาบางในใจที่มีอยู่ตลอดเวลานี้เองเป็นแรงผลักที่ทำให้เราพูด ทำ คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ตอนเราเป็นเด็กเล็กๆ แรงผลักในใจก็ดันให้เราหาขวดนม หาคนกอด หาตุ๊กตาหรือของเล่น เพื่อให้รู้สึกมั่นคงและอบอุ่น พอโตขึ้นแรงผลักเหล่านี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่รายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ของเล่นอันเล็กอาจกลายเป้นรถยนต์คันสวย เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เราวิ่งหาเงิน สร้างบ้าน ซื้อรถ สะสมอำนาจเกียรติยศ ไขว่คว้าหาความรักและหาคนแวดล้อม ด้วยความหวังว่าใจเราจะอิ่มเต็มเมื่อได้สิ่งที่ถูกใจมาครอบครอง แต่ความสุขทั้งหลาย ไม่เคยอยู่กับเราได้นาน มีความสุขอยู่ได้ไม่นาน ความทุกข์ ความขุ่นมัว ความเครียด กังวลใจ ความวุ่นวายต่างๆ ก็วกกลับมาอีก ไม่ว่าจะหาอะไรๆ มามากมายสักเพียงไหน หลุมในใจทั้งหลายดูเหมือนจะไม่มีวันเต็ม เราไม่เคยอิ่ม จนกว่าเราจะสังเกตเห็นว่าต้นเหตุไฟที่ลุกไหม้ท่วมใจ มาจากไฟกองเล็กๆในใจเรานั่นเอง

2.เข็มทิศ.
                                                                                                                                                                              ลองสังเกตแรงผลักในใจของเรา ทันทีที่มีความคิดเกิดขึ้นว่ามันจะจูงเราไปทำอะไร เพื่ออะไร ทุกวันนี้เราเห็นตำราของชาวตะวันตกมากมายที่สอนให้เรา be proactive บ้าง be in the present บ้าง หรือมี EQ บ้าง ความหมายของสิ่งเหล่านี้ก็คือ ให้เรามีสติ ระลึกรู้สิ่งต่างๆที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติต่อทุกการรับสัมผัส มีช่องว่างที่จะใช้ตัดสินใจเลือกปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น ที่น่าเศร้าก็คือ หนังสือดีๆ เหล่านั้น ไม่เคยช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา ข้อคิดดีๆ เป็นเพียงความรู้ที่จบอยู่แค่สมอง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราได้ เพราะมันเข้าไม่ถึงใจ จนกว่าเราจะยอมหยุด แล้วเริ่มต้นเข้าใจจิตใจตัวเอง .

3.เกิดมาทำไม                                                                                                                                                                        ความรู้แผนใหม่ที่เพิ่งค้นพบไม่กี่ปีมานี้เอง บอกว่ามนุษย์จำเป็นต้องฝึกเพิ่มพูนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เพื่อดำรงตัวให้เหมาะสมงดงาม ในขณะที่ชาวพุทธรู้มากว่า 2500 ปีแล้วว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเอง เราสามารถมีความรู้สึกตัว มีสติ เลือกปฏิกิริยาในการตอบสนอง คิด พูด กระทำ ด้วยสติปัญญาที่สมบูรณ์ถึงพร้อมและเป็นอิสระจากภายนอก แตกต่างจากสัตว์ที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนเรายังมัวแต่รอให้ฝรั่งเป็นผู้นำความรู้ดั้งเดิมของเรา มาบอกเราอีกครั้งเท่านั้นเอง เราได้แต่ทำตามๆกันไป ทำอย่างรีบเร่งโดยไม่มีโอกาสหยุดคิด แข่งกันเรียน แข่งกันทำงาน แข่งกันหาเงิน พอมีเงินก็รีบแต่งงาน รีบมีลูกให้ทันใช้ แต่ไม่รีบแก่ รีบเจ็บป่วย หรือรีบตาย ไม่ทันฉุกคิดว่าเราต้องแก่ เจ็บป่วย และอีกไม่นานนับจากวันนี้ ก็จะไม่มีเราบนโลกนี้อีกต่อไป แล้วชีวิตคนคนหนึ่งเร่งรีบเสียจนกระทั่ง ไม่มีโอกาสจะหยุดเพื่อถามตัวเองเลยหรือว่า ชีวิตนี้มีอะไรที่มากไปกว่าการหาเงิน การมีครอบครัว ทำชั่วบ้างดีบ้าง หัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง มีสุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป การที่เราวิ่งเป็นหนูถีบจักร เพียงเพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกัน มันถูกต้องพอเพียง และเป็นเส้นทางที่จะพาเราไปสู่ความสุข ความสบายกาย ความสบายใจอย่างที่ใฝ่ฝันไขว่คว้าได้จริงหรือ Half our life is spent trying to find something to do with the time we have rushed through life trying to save (Will Rogers)

4.เด็กอ้วนกินอุจจาระ... 
                                                                                                                                                                                  ครั้งหนึ่งท่านชยสาโร พระภิกษุชาวอังกฤษ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติและเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท ได้เคยเล่าให้ฟังถึงภาพภาพหนึ่งว่า เป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวอ้วนน่ารักกำลังทำท่าตักอาหาร และรัปประทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย หากแต่อาหารที่อยู่ในจานนั้น เป็นกองอุจจาระขนาดใหญ่ที่มีแมลงวันตอมอยู่เต็ม คำบรรยายใต้ภาพนั้นกล่าวว่า "แมลงวันหลายล้านตัวบนโลกนี้ จะหลงผิดทั้งหมดได้อย่างไร (ถ้าอุจจาระไม่อร่อยจริง) " ความจริงก็คือ การที่แมลงวันหรือคนมากมายทำตามๆกันไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป วินาทีนี้ลองหยุดทบทวนการดำเนินชีวิตของพวกเราดูเราแน่ใจแล้วหรือว่า การที่เราทำเหมือนคนอื่นทำกันนั้น จะทำให้ชีวิตถึงจุดมุ่งหมายมีความสุขได้อย่างที่เราใฝ่ฝัน เราจะหยุดพัฒนาตัวเองเพียงเพื่อให้หาเงินได้ เข้าสังคมได้ เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่เรารู้ว่า ไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน ทุกอย่างในชีวิตสามารถผกผันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ภายในพริบตาเดียว ครอบครัว การงาน ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนรัก อาจไม่อยู่กับเราดีๆ อย่างนี้ตลอดไป ชีวิตเป็นของเรา เราควรมีโอกาสเลือกวิถีทางเดินชีวิตของเราด้วยความรู้สึกตัวอย่างเต็มเปี่ยม ให้มั่นใจว่าเราอยากทำอย่างนี้ และสิ่งที่เรากำลังทำนี้จะพาเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ About the time one learns to make the most of life, most of it gone

5. ชีวิตไม่แน่นอน 
                                                                                                                                                                                เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียนจบปริญญาโททั้งสาขาบริหารธุรกิจและสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยา ลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะที่เธอมีอายุเพียงยี่สิบปี ในวันนั้นเธอคิดว่า ความรู้ที่เธอเรียนมาทางโลก ความตั้งใจดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นคนทำงานที่ดี เพียงพอแล้วจะทำให้ชีวิตเธอมีความสุข พออายุยี่สิบสองปี เธอสามารถซื้อรถเบนซ์ด้วยตัวของเธอเอง วันที่เธอขับรถคันใหม่ไปทำงาน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอหยุดแล้วถามตัวเองว่า วัตถุที่เราอยากได้นักอยากได้หนา คิดว่าเมือ่ได้มันมาแล้วจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ทำไม ความสุข ความตื่นเต้น มันมีอยู่แค่ชั่วขณะเดียวแล้วจางหายไป แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงของมนุษย์ แต่ความสงสัยในขณะนั้นไม ่มีกำลังพอที่จะให้เธอค้นหาคำตอบ เธอก็ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิม และเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ในขณะที่เธอภาคภูมิใจในความสำเร็จ มั่นใจตัวเองที่สุด รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือ แล้วเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้าง ที่เธอมีภายในพริบตา จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลายเป็นคนที่รู้สึกล้มเหลว ไม่อยากพบหน้าผู้คน เธอหนีไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ ตจว. เวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้าทุกวัน เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงได้ ความรู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันเหือดแห้งไปทุกหยด ใครจะมาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ก็ไม่เข้าใจ ก็เราทุกคนถูกสอนมาว่า ถ้าเราตั้งใจเรียน เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราตั้งใจทำงาน ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่มีใครเคยบอกเราอย่างแท้จริงว่า ไม่ว่าเราจะทุ่มเทสักเพียงไหน ทุกอย่างในชีวิตมันก็ไม่แน่เสมอไป เราทำได้แค่สร้างเหตุ เหมือนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ไล่แมลง แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโต หรือตายไปมีมากมาย บางอย่างเราเลือกได้ บางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้ ผลของมันจึงไม่แน่เสมอไป แล้วอะไรล่ะที่เป็นความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิตเรา เหตุการณ์ข้างต้นเล่าให้ฟังว่า ชีวิตไม่มีความแน่นอน ที่เราคิดว่า เรามีความสุข มั่นคง ดูแลตัวเองได้ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันใดวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา กับสิ่งที่เรารัก ตอนที่เรารับรู้เรื่องนี้ เราอาจรู้สึกสงสารบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปแค่คำเดียว จากคำว่า เขา เป็น เรา สามีเรา ลูกเรา บริษัทเรา เงินของเรา ใจเราคงไม่หยุดแค่สงสารบ้างเล็กน้อยแน่ๆ คำๆเดียว แต่มีกำลังมหาศาลที่จะสร้างความทุกข์ในใจเรา คือคำว่า ของเรา ของของคนอื่นจะตาย ล้มละลาย สูญเสีย ไม่เป็นไร อย่าเป็นของเราก็แล้วกัน แต่ดิฉันไม่โชคดีเหมือนท่านผู้อ่าน เพราะคนที่ตายคนนั้นคือสามีของดิฉัน และเด็กคนนั้นเป็นลูกของดิฉันเอง ขณะที่ดิฉันกำลังสับสนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกั บชีวิต มีผู้ใหญ่ท่านนึงมาที่งานศพมาถึงท่านก็เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีแม่อยู่คนหนึ่งชือนางกีสาโคตมี ลูกของเธอเสียชีวิต เธอวิ่งขอร้องให้คนช่วยชุบชีวิตลูก จนมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ถ้าท่านหาเมล็ดพันธุ์ฟักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายได้เราจ ะช่วยลูกท่าน นางกีสาโคตมีก็วิ่งขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านต่างๆทุกบ้านก็ยินดีทีจะให้ แต่พอถามว่าในบ้านท่านเคยมีพ่อตาย แม่ตาย ตายายตาย ปู่ย่าตายาย ลูกหลานตายไหม ทุกบ้านก็ตอบว่า เคยมี ทุกบ้าน ขณะที่ได้ฟังนั้น สติของดิฉันกลับมาอีกครั้ง คิดได้ว่าทุกคนในโลกนี้ต้องเคยเสียของ เสียคน เสียสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดมาแล้วในชีวิตทั้งนั้น เพียงแต่เวลาที่เป็นของ คนอื่นตาย คนอื่นเสียใจ เราไม่ทุกข์ เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกว่า มันเป็นของเรา และอยากให้อยู่กับเราดีๆตลอดไป ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ หลายๆท่านบอกกับดิฉันว่า ถ้าไม่อยากล้มละลาย ไปหาเวลาอยู่กับตัวเอง ศึกษาตัวเอง ศึกษาธรรมชาติธรรมดาของชีวิตเราซะ ดิฉันไม่เคยเข้าหลักสูตรภาวนาที่ไหนมาก่อน เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนที่ . ตปท ว่าเป็นที่นิยมกันมากทั้งในนักธุรกิจ นักวิชาการ คนทั่วไป ว่ามีประโยชน์ ต่อชีวิต แต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจว่ามีลักษณะอย่างไร 

6.ไม่มีอะไร อยู่ตลอดไป 
                                                                                                                                                                               .ในขณะที่กำลังรู้ความปวดอยู่นั้น วินาทีที่ความปวดหายวับไป ดิฉันได้รู้ความรู้ที่มีค่าที่สุดว่า ทุกอย่างในชีวิตเรามีเวลาที่จะต้องดับไป เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นชีวิตคนที่เรารัก ชีวิตของเราเอง หรือปัญหาอะไรๆ ก็ตาม ก่อนหน้านี้เรามักจะรู้สึกว่า ปัญหาหรือความทุกข์อันนี้จะไม่มีวันจบ ไม่มีวันหายไปจากชีวิตเรา แต่เมื่อเราได้เห็นจะจะด้วยใจตัวเองแล้วว่า ขนาดความทุกข์ที่กำลังบีบคั้นเราอยู่แท้ๆ ตอนที่เราอยากให้มันไป มันก็ไม่ไป พอมันนึกจะหายไปมันก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วสิ่งที่เห็นนอกไปจากนั้นก็คือ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ทรมาน ไม่ใช่อาการปวดตุ้บๆ บนขา แต่เป็นใจของเราที่อยากให้ความปวดขาหายไปเดี๋ยวนี้ ตัวหนี้สินไม่ได้ทำให้เราเป็น ทุกข์ ตอนเขาอนุมัติเงินให้กู้เรายังดีใจสุดๆ แต่ความอยากให้หนี้ อยากให้ปัญหาจบลงเดี๋ยวนี้ แล้วมันไม่เป็นอย่างใจเราต่างหาก ที่ทำให้เรามีทุกข์เสียนักหนา สิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้เราเห็นก็คือ ทุกอย่างมีขึ้นแล้วหายไป เปลี่ยนแปลง คงสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถบังคับให้ถูกใจเราตลอดเวลาได้ ธรรมชาติจะหมุนเวียนเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ เราจะเป็นทุกข์ก็ต่อเมื่อใจของเรายืดออกไปยึดว่า อันนี้ของเรา คนของเราต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เมื่อนั้นความทุกข์เกิดขึ้นทันที ...

7.ก้อนหนามในกำมือ 
                                                                                                                                                                                เคยสังเกตบ้างไหม เวลาที่เราเป็นทุกข์หนักหนา เรามักจะรู้สึกว่าทุกข์เหลือเกิน ไม่รู้จะหยุดทุกข์ได้ยังไง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน เช่นโดนนินทา ถ้าเปรียบใจเป็นมือ และความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นก้อนหนามแหลมๆ ใจเราไม่รู้ก็กำก้อนหนามไว้เสียแน่น ยิ่งเจ็บ ยิ่งทุกข์ ไม่รู้จะช่วยตัวเองได้ยังไง พอเราได้ฝึกตามสังเกตจิตใจตัวเอง เราจะเห็นอาการที่ใจคอยกำความคิดเละความทุกข์ไว้แน่น ทันทีที่เราเห็นว่าใจของเรากำลังกำก้อนหนาม กำมีดทิ่มแทงตัวเองอยู่ ขณะนั้นเองที่ใจจะสามารถวางความคิดวางมีดลงได้ชั่วขณะหนึ่ง เรามักจะรู้สึกว่า เราสามารถวางความทุกข์ได้เพียงครู่เดียว แล้วมันก็กลับมาอีก เคยได้ยินเรื่องลิงเกลียดกระปิบ้าง


8.ลิงน้อยกับกะปิ                                                                                                                                                            เวลาที่คนจะแกล้งลิงก็มักจะเอากะปิไปทาที่มือลิง เจ้าลิงเกลียดกะปิที่สุดในชีวิตก็จะเอามือมาสูดดม แล้วถูมือไปกับสิ่งต่างๆ จนเลือดไหลท่วมมือ ถามว่า สิ่งที่ทำให้ลิงบาดเจ็บจนเลือดไหลคือ กะปิ หรือความเกลียดกะปิในใจลิง ลิงน้อยไม่เคยฝึกตามรู้จิตใจตนเอง มันจึงไม่รู้ว่า ตัวมันนั่นเองที่หยิบกะปิมาดมตลอดเวลา แล้วความเกลียด ความอยากผลักไสของมัน ก็ทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส เราอาจจะหัวเราะเยาะว่าลิงโง่ แต่เราทุกคนก็เคยเป็นเหมือนตัวดิฉัน เหมือนเจ้าลิงตัวน้อย ที่หยิบมีดมาแทงตัวเอง กำก้อนหนาม หยิบกะปิมาดม ทำร้ายตัวเองอยู่ทุกขณะโดยไม่รู้ตัว แล้วมนุษย์อย่างเราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนลิงที่จะหยิบกะปิมาดม กำก้อนหนาม หรือหยิบมีดมาทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา โดยที่ไม่คิดจะช่วยตัวเองบ้างหรือ .

9.กายใจเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ 
                                                                                                                                                                                 สิ่งที่ดิฉันได้ค้นพบก็คือ ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเรามีสติรู้ตัว จริงๆแล้วเรารู้ไม่ทัน เราเหมือนคนที่กำลังจมลงไปในน้ำ ถลำลงไปในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่ลากใจเราถูลู่ถูกัง ให้เราเจ็บปวดทุรนทุรายกับเรื่องต่าง ๆ แตกต่างกับขณะที่เรามีความรู้สึกตัว รู้ตัวอยู่เป็นกลางๆ เรารับรู้แต่ละประสบการณ์ โดยที่สิ่งนั้นๆ ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายได้ เป็นประสบการณ์ที่แปลก ราวกับว่าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง เราอยู่แค่ในความคิดของเรา เราอยู่กับลูก เราก็คิดถึงเรื่องงาน คิดอดีต คิดอนาคต ใจเราแอบทำงานตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เรารู้แค่ผลของมัน ผลที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและหนัก พอมาฝึกตัวเองใหม่ มาเรียนรู้การเดิน รับประทานอาหาร พูด อย่างรู้สึกตัวใหม่ๆ เราก็ต้องคอยสังเกตคอยชำเลืองดูจิตใจตัวเอง พอทำไปๆ จิตใจความรู้สึกของเรา มันปรากฏให้เราเห็นอย่างชัดเจน แล้วตัวเราเป็นเหมือนคนอีกคนที่ดูอยู่ มีสิทธิ์จะทำตามความคิดก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ความรู้สึกมันเหมือนคนที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นอิสระจากความคิด ความรู้สึกของตัวเอง เหมือนกับเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในห้องทดลอง มีร่างกายและจิตใจของเราให้เราเฝ้าสังเกต แม้กระทั่งในขณะนี้ ถ้าคุณลองสังเกตุดูจะเห็นว่า ตัวเองส่งใจยึดมาดูที่ตัวหนังสือ อ่านแปลความหมาย หยุดคิดเป็นช่วงๆ แล้วบางขณะใจก็ลอยไปคิดเรื่องอื่น นึกขึ้นได้ก็กลับมาอ่านต่ออีก ความคิดของเรามากมายมหาศาลจริงๆ แต่เราไม่เคยรู้ทัน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เรามักจะพบว่าความคิดเราพาเราไปทำอะไรๆ ให้ต้องเสียใจมาแล้วหลายครั้ง เพราะเรารู้ไม่ทันความคิดของตัวเองนั่งเอง ตอนนี้ เราลองมาฝึกเป็นเหมือนตำรวจตรวจจับผู้ร้ายกัน คิดอะไรก็รู้ทัน ตรวจดูว่าไม่เป็นโทษแล้วจึงปล่อยให้ทำ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเรานึกย้อนดูให้ดี เราจะเห็นว่า บ่อยมากที่เราปล่อยให้ตัวเองไหลไปในความรู้สึก โกรธ น้อยใจ อิจฉา หึงหวง อยากได้ ไม่อยากได้ หงุดหงิด รำคาญ เครียด กังวลใจ เรางับ งับ งับความคิด ทั้งๆ ที่เรารู้ดีว่า ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เคยทำประโยชน์ให้กับใคร สรุปก็คือ จิตใจเราทำงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งดี ทั้งร้าย เป็นภาระหนักทางใจที่เราแบกไว้ตลอดเวลา เราแบกของหนักไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ตัว คิดจะวางก็วางไม่ได้ วางไม่เป็น บางคนอาจจะรู้เพียงว่า เราเหนื่อย หนัก เหมือนเด็กหลงทางที่อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนแบบเรียนในโรงเรียนที่มีคำตอบที่ถูกต้องเ สมอ ตลอดชีวิตที่ไม่รู้ความจริง เราแก้ปัญหาผิดที่ ผิดวิธี ชีวิตเราจึงยิ่งยุ่งเหยิง วุ่นวาย เพราะเราไม่รู้กฏธรรมชาติธรรมดาของชีวิต ไม่รู้แม้กระทั่งกระบวนการทำงาน ภายในจิตใจตัวเองว่า ความหงุดหงิด ความอิจฉา ความน้อยใจ ความรัก ความโกรธ เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสภาพอย่างไร แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีชีวิตอยู่กับมันได้ โดยที่เราเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ไม่ต้องยอมจำนวนกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ ที่อะไรอยากจะผุดขึ้นมาเมื่อใหร่ ก็โผล่ขึ้นมาทั้งที่ใจไม่ต้องการ การรู้ความจริง รู้กฏของชีวิต ช่วยให้เราบริหารชีวิตจิตใจได้ตรงจุด เป็นการประกาศอิสรภาพของใจที่เคยตกเป็นเบี้ยล่างตลอดมา ทุกอย่างในโลกนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รัก-ไม่รัก รวย-จน สุข-ทุกข์ อยู่-ตาย แข็งแรง-เป็นโรคร้าย ดี-ไม่ดี ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจเรา จนกว่าใจเราจะเคลื่อนไปเกาะไปยึด ว่าอันนี้ตัวเรา ของเรา ความคิดเรา และเราอยากให้มันเป็นอย่างใจเรา อยากให้เขาไม่ตาย อยากให้บริษัทเจริญ อยากให้รักเราตลอดไป เมื่อนั้นทุกข์เกิดขึ้นทันที...หลวงพ่อชา สุภัทโท อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เคยกล่าวไว้ว่า ไก่ก็เป็นไก่ เป็ดก็เป็นเป็ด เมื่อไหร่ที่เราอยากให้ไก่เป็นเป็ด ไก่มันก็เป็นไม่ได้ ใจเรามันอยากฝืนธรรมชาติ มันก็ทุกข์เท่านั้นเอง หรือไม้อันหนึ่งจะบอกว่า มันสั้นหรือยาว มันก็อยู่ที่ใจเราอีก เราอยากได้ไม้ยาวๆ ไม้นี้ก็สั้นไป เราอยากได้ไม้สั้นๆ ไม้นี้ก็ยาวไปอีก ไม้มันก็เป็นไม้อยู่อย่างนั้น แต่ใจเรานี้แหละที่คอยไปยุ่งกับมัน

  10. เข็มทิศ 
                                                                                                                                                                                ชีวิตเราเลือกให้มีแต่สิ่งที่เราพอใจไม่ได้แต่เราสามารถเลือกรู้ทันใจที่กำลังจะหยิบฉวยก้อนหนาม จัดการกับปัญหาด้วยใจที่ไม่ทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่คิดบังคับ เมื่อนั้นความไม่สบาย ความหนัก จะเกิดขึ้นกับใจเราทันที หน้าที่เดียวของเราก็คือ รู้เท่าทันใจที่ยืดไปยึด ไปอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างใจเรา ทันทีที่รู้ทันใจ ในวินาทีนั้น ใจจะมีอาการปล่อยวางหนึ่งขณะเป็นอย่างน้อย วินาทีนั้นจะเกิดใจที่ว่าง โล่ง มีคุณภาพ รู้ว่าเราสามารถสร้างเหตุ ดูแล ปัจจัยสภาพแวดล้อมได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ผลจะเป็นอย่างไร เราเลือกไม่ได้ แต่เราสามารถฝึกใจให้คอยรู้ทันใจทุกขณะที่ยืดเข้าไปอยากอีก จนใจยอมเข้าใจหันมาตั้งใจที่การทำเหตุในแต่ละขณะให้ดีที่สุด รู้ คือ เข็มทิศ เราจะมีความรู้สึกตัวเป็นเข็มทิศคอยกำกับชีวิตได้ตลอดเวลา เพียงแต่เราจะต้องให้ โอกาศเข็มทิศ ให้โอกาสความรู้สึกตัวได้ทำงานเท่านั้นเองเราสามารถที่จะฝึกให้รู้ตัวเร็วที่สุด ทันทีที่ใจเราเริ่มไหลไปตามอารมณ์ ใจเริ่มมีการทำงาน คิดๆๆ ด้วยความรู้สึกตัวในขณะนั้น ถ้าเราเห็นใจกำลังกำมีด กำหนาม ดมกะปิ ในขณะที่รู้ก็สามารถวางความรู้สึก และความคิดนั้นๆ ลงได้ทันที การรู้ทันใจตัวเอง เห็นทันใจที่กำลังปรุง คิด อยาก เป็นการเห็นที่ต้นเหตุของความทุกข์ และเป็นการดับทุกข์ ในขณะเดียวกัน ต้นเหตุของความทุกข์เกิดจากใจที่หลงออกไป ทันทีที่รู้ทัน ตัดตั้งแต่ต้นตอ วินาทีนั้น ใจไม่หลง มีแต่ความรู้สึกตัวเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยความรู้จักธรรมชาติ ยอมรับตามความเป็นจริงของมันว่า อะไรๆ ก็ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเลา ไม่สามารถบังคับให้เป็นอย่างใจได้เลย เมื่อใหร่ที่ความยึดถือในความคิด ความอยากของเราเบาบางลง ความทุกข์ก็น้อยลงตามลำดับ แล้วเราจะได้พบความจริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ไม่มีใครหรือเหตุการณ์อะไรสามารถกระชากใจให้ใจเราจมอยู่ในความทุกข์ได้ ความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ เราเผลอปล่อยใจให้ไหลไปโดยไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง ในแต่ละขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระลึกรู้สึกตัวเต็มที่ เท่ากับว่าเราได้ทำหน้าที่ แต่ละขณะของเราอย่างดีที่สุด เป็นอิสระจากความกลัว ความอยาก ความไม่อยาก เราได้ทำปัจจุบัน และผลในอนาคตอย่างสมบูรณ์ รู้ทันความกลัว บ่อยครั้งในชีวิตที่คนเราปล่อยตัวเองให้จมลงไปในวิถีชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาจิตใจของตนเอง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในวิถีชีวิตที่เราไม่ต้องการ แต่เราไม่เข้มแข็งพอที่จะสลัดหลุดออกจากมันได้ บางคนเสพติดการช็อปปิ้ง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า นาฬิกา ที่เราทนต่อแรงดึงดูดภายในไม่ไหว เพราะเราไม่มีโอกาสรู้ทันใจ ไม่ได้ให้โอกาสเข็มทิศชีวิตทำงาน จึงต้องมานั่งแก้ปัญหาหนี้สินที่ตามมาไม่รู้จบ บางคนทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ศรัทธา เพียงเพราะเรากลัว กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ ความเปลี่ยนแปลง โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เรามีความกลัวผุดขึ้นในใจเสมอ กลัวจน กลัวคนไม่ชอบ กลัวเขาไม่รัก ไม่อยู่กับเรา กลัวไม่สมดังใจ ความเครียดในใจของเรา เกิดจากใจที่กลัวว่าอนาคตจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หรือคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ว่ามันควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การที่เราฝึกดูจิตใจตัวเอง คอยรู้สึกตัว รู้ทันความกลัว ใจของเราจะเกิดความรู้สึกมั่นคงสะสมขึ้นทีละขณะ ความกลัวเป็นความเผลอสติ เกิดจากใจที่หลงไป ถ้าเราเห็นความกลัวนั้นทัน ความกลัวก็จะหายวับไป ใจเราก็จะสงบ มั่นคง ตั้งมั่น อยู่กับขณะนั้น เราจะรู้จักความเป็นอิสระ รู้ประจักษ์ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ว่าเราสามารถมีความสุขได้จากภายใน โดยไม่ต้องอิงอาศัยคน อาศัยของ เป็นอิสรภาพทางจิตวิญญาณที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้ทุกขณะ แม้ในขณะนี้ ทันทีที่ท่านผู้อ่านเห็นว่าใจไหลมาจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ ใจของเราจะเกิดความรู้สึกตัวเป็นปรกติ ธรรมดา มั่นคงก่อนที่จะเริ่มไหลใหม่ หลงใหม่ หลงอีกในขณะต่อๆ ไป แล้วเราก็จะเริ่มรู้สึกตัวใหม่อีก

 

คำสำคัญ (Tags): #มี3ตอน
หมายเลขบันทึก: 312255เขียนเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2009 23:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 10:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท