ก่อนจะเปลี่ยนมือถือใหม่+อยากให้อ่านข้อเขียนตรงนี้สักนิด !!


    บังเอิญได้ผ่านเข้าไปอ่านบล๊อกของ พระปิยธรรม ปิยธัมโม มามีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งที่เราๆ ก็คิดไม่ถึง ก็เรื่องของพฤติกรรมการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือของพวกเราทุกคน อ่านแล้วก็ให้ได้คิดถึงบางคนที่ชอบเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ บางคน 3-4 เดือนเปลี่ยนเครื่องใหม่อีกแล้ว โดยเราก็ไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบกับสิ่งที่ตามมาอย่างมากมาย อย่างที่หลายคนบอก “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เอาแค่เริ่มต้นสิ่งที่เห็นชัดเจนก็เรื่องของขยะอิเล็คทรอนิกส์ที่มีมากขึ้น ทุกวัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ยังไม่มีการวางแผนการกำจัดขยะเหล่านี้อย่างเป็น รูปธรรม ผิดกับหลายๆ ประเทศที่เค้าเริ่มมีการรับซื้อขยะเหล่านี้นำเอาไปรีไซเคิลกันมากขึ้น ขยะเหล่านี้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร และกลับมาเป็นปัญหาต่อสุขภาพของผู้คนอย่างไร

    พฤติกรรม การเปลี่ยนมือถือของหลายๆ คนที่กลัวจะไม่ทันเพื่อน (ไม่ใช่ไม่ทันเทคโนโลยี) สร้างได้แม้แต่กระทั่งปัญหาในเชิงของมิติทางสังคม (อันนี้ไม่ขอขยายความ ขอให้ช่วยกันคิดเอาเอง) ลองไปถามเพื่อนๆ ของคุณที่ใช้โทรศํพท์ที่มีฟังก์ชั่นเยอะๆ ดูสิว่าโทรศัพท์ของเขาใช้ OS อะไร คิดว่าไม่น่าเกินครึ่งหนึ่งที่จะตอบได้ แล้วพวกฟังก์ชั่นเหล่านั้นจำเป็นมากน้อยขนาดไหน ยกตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น โทรศัพท์ที่รับโทรทัศน์ได้ อันนี้เป็นฟังก์ชั่นที่มีการใช้กันไม่เยอะนักแต่หลายคนก็พยายามจะมี โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน นั่งทำงานในออฟฟิตก็คงไม่ได้ใช้ถ้าเจ้านายไม่หูหนวกตาบอด เวลาขับรถไปกลับที่ทำงานถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็คงไม่มีใครให้เหตุผลว่าดู โทรทัศน์ (บนโทรศัพท์) อยู่ ถ้านั่งรถเมล์ไปทำงานจะเอาออกมาดูเพื่อโชว์ว่าเครื่องข้าทันสมัยโดยไม่คำนึง ถึงความรำคาญของผู้คนรอบข้าง มันก็จะกลายเป็นการล่อเป้าสายตาสำหรับโจรเสียมากกว่า หรือว่าจะเอาไว้ดูตอนเวลาไปเที่ยว แล้วมันจะไปเที่ยวทำไม? ถ้าเป็นที่บ้านก็เปิดเครื่องที่บ้านดูไม่ดีกว่ามานั่งเพ่งจอเล็กๆ หรืออย่างไร โอกาสได้ใช้น้อยเต็มที ลองถามตัวเองดูนะว่า ซื้อโทรศัพท์เครื่องละ หมื่นห้าพันใช้ถึงสามพันรึเปล่า

อยากให้ลองอ่านดูนะ แล้วจะอึ้ง!!! (ขออนุญาตยกมาให้อ่านที่นี่เลยนะ )

ยกคำพูดมา

1,222,245,200,000คือ ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปี 2551
จากสถิติ ของ Worldwatch institute ระบุว่า 
ระยะเวลาเฉลี่ยในการใช้โทรศัพย์มือถือ 1 เครื่อง
ในปัจจุบันมีอยู่ราว 14 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ 
นับว่าน้อยกว่าอายุการใช้งานจริงที่ควรจะเป็น

ทั้งๆที่มือถือยุคใหม่ไม่ได้ทำอะไรออกมาสนองความต้องการมากนัก
และระยะเวลาในการใช้งานอาจจะน้อยเกินไปกว่านั้น 
ในกลุ่มผู้ใช้มือถือที่เห็นเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมความมั่นใจ
เปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเทรนด์ 
และได้ของที่ฉลาดสุดๆอยู่ในมือ

แต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังความพอใจที่ได้อินเทรนด์นี้
ยอดขายหลายล้านๆเครื่องในแต่ละปี หมายถึง น้ำตา ฝันร้าย
และความตายของชาวคองโกนับล้านชีวิต 
นี่ยังไม่นับรวมการฆาตกรรมหมู่ในป่าลึก,
ความตายของกอริลล่ายักษ์ที่อาจเหลือฝูงสุดท้ายในรวันดา

ตัวเชื่อมที่ทำให้มือถือโยงไปถึงสงครามร้ายแรงที่สุด
ในประวัติศาสตร์แอฟริกาคือ โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ 
หรือ แร่โคลแทนที่พบมากในแอฟริกากลาง,แน่นอน...ในคองโก

 

ด้วยคุณสมบัติทนความร้อนสูง ทำให้ผงแทนทาลัม
ที่สกัดได้จากโคลแทน กลายเป็นวัตถุดิบจำเป็นที่อยู่ในมือถือ
คอมพิวเตอร์,เพลย์สเตชั่นฯลฯ

โคลแทน กลายเป็นblack goldในขณะเดียวกัน 
สงครามคองโกครั้งที่ 2 ทำให้แร่สีดำชนิดนี้ 
กลายเป็นแร่สีเลือด blood coltan

เพราะการลับลอบทำเหมืองและส่งออกโคลแทน 
กลายเป็นแหล่งหารายได้ที่เติมเชื้อไฟให้กับAfrican World War

ในจำนวนประเทศทั้ง8 ที่ติดหล่มสงคราม
และกองกำลังติดอาวุธกว่า20กลุ่ม 
หลายกลุ่มหาผลประโยชน์จากพื้นที่คองโก
ที่ประเมินว่ามีแร่โคลแทนมากถึง 80% ของปริมาณโคลแทนในโลก

การดิจิไทซ์โลก ถนนทุกสายจึงมุ่งไปที่พื้นดินของคองโก
กองกำลังประชาธิปไตย กลุ่มปลดปล่อยรวันดาหรือ FDLR 
ที่มีชาวฮูตูเป็นแกนนำ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัด
ของการทำเหมืองแร่ในคองโกอย่างผิดกฏหมาย
แม้จะต้องเสี่ยงจากการถูกปราบปรามจากรัฐบาลคองโก 
แต่FDLR และอีกหลายกลุ่ม 
ก็เห็นว่ามันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าอยู่ดี

เพราะแทนทาลัมเพียง 1 ปอนด์ทำเงินร่วม หมื่นบาท
แทนทาลัม 1 ปอนด์ เป็นได้ทั้งตัวเก็บประจุในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่
และแปลงเป็นAK-47พร้อมกระสุนให้กับกองกำลังติดอาวุธ

มิหนำซ้ำในกระบวนการร่อนแร่หาโคลแทน 
แรงงานที่ถูกบังคับให้ทำเยี่ยงทาส ก็คือเด็กๆคองโกลีส
ซึ่งองค์การสหประชาชาติรายงานว่า ในบางพื้นที่ของคองโก 
ในเด็ก100คนจะมี30คน ที่ต้องใช้เวลาทั้งวัน
ไปกับการแยกโคลแทนออกจากเศษหินอื่นๆ

เงินค่าจ้างไม่ถึง 35 บาท ต่อการหาโคลแทนให้ได้ 1 ปอนด์

เรื่องมือถือเปื้อนเลือดถูกพูดถึงเมื่อหลายปีก่อน
บริษัทระดับโลกอย่าง Nokia,Ericsson,Moto,Acer ,Compaq 
ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่า โคลแทนที่ใช้ในการผลิตของตน
ไม่ได้มาจากคองโก แต่มีซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้หามาให้

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บอกได้ว่า 
แทนทาลัมในมือถือที่พกติดตัวจนกลายเป็นอวัยวะที่33 
นั้นมาจากคองโกหรือเปล่า

การตรวจสอบเส้นทางของแทนทาลัมนั้น
ต่อให้ใช้วิธีตามไปดูถึงที่แบบกบนอกกะลา 
ก็ยังไม่สามารถบอกที่มาได้
โคลแทนได้ถูกลักลอบเอาออกนอกคองโก
เข้าสู่ตลาดมืด และขายทอดต่อไปเรื่อยอีกอย่างน้อย 10 ทอด
กว่าจะไปถึงผู้จัดหารายใหญ่ ที่บริษัทบิ๊กๆเลือกเป็นคู่ค้า

ความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้วัตถุดิบ
มารองรับความต้องการการซื้อมือถือในตลาดโลก 
นอกจากจะมีส่วนสร้างประวัติศาสตร์เลือดให้กับอัฟริกาแล้ว 
ยังส่งผลร้ายต่อสัตว์ป่าด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เพราะในพื้นที่ๆขุดหาโคลแทน มันคือบ้านของ กอริลล่าภูเขา
ที่เหลืออยู่บนโลกนี้ไม่กี่ร้อยตัว

สัตว์ร่วมวงศ์กับมนุษย์ ที่แสนจะขี้อาย สุภาพ 
ไม่เพียงถูกเหมืองคุกคามถิ่นที่อยู่ 
พวกทำเหมืองยังล่าพวกมันเอาหัว บางทีก็ชำแหละนำเนื้อมากินด้วย

สวนสัตว์ในแอฟริกาหลายแห่ง รณรงค์การรีไซเคิลมือถือ
เพื่อลดอัตราการใช้โคลแทนในการผลิตมือถือใหม่
ด้วยหลังจะชะลอการสูญพันธุ์ของกอริลล่าภูเขาในคองโกได้บ้าง

แต่ดูเหมือนไม่ทันต่ออัตราการเติบโต
ของอุปกรณ์ที่เป็น "มากกว่าใช้พูด" แต่ส่วนใหญ่"ก็ใช้แค่พูด"เท่านั้น

ในทวีปแอฟริกาเอง พิษภัยจากมือถือคุกคามชีวิตและทรัพยากรตัวเอง 
แต่อัตราการใช้มือถือก็เพิ่มขึ้น 1000%

เช่นเดียวกับจำนวนคนบริสุทธิ์ที่ล้มตายลง
ในสงครามกลางเมืองคองโก ประมาณการณ์กันว่า 
นับแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปียุติสงครามอย่างเป็นทางการ 
ยังมีผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงรูปแบบต่างๆถึงเดือนละ 45,000คน
หรือปีละ 540,000 คน ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึง
ผู้หญิงหลายหมื่นที่ถูกทารุณทางเพศ
ของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เพียงแต่พวกเธอยังไม่ตาย

1,222,245,200,000กับ540,000 อาจมีหน่วยนับต่างกัน
แต่อัตราการขยายตัวกลับแปรตามกันอย่างน่ากลัว
ถ้าความอินเทรนด์ของคุณ นำมาซึ่งตัวเลขที่มีหน่วยศพเพิ่มมากขึ้น
คุณยังอยากเปลี่ยนมือถือทัชสกรีนมาใช้เล่นอีกสักเครื่องไหม

 

ขอบคุณข้อมูลจากคอลัมน์ "ไม่ซื้อ..ไม่ตาย" นิตยสาร ค. คน..

ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 312553เขียนเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2009 05:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 10:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ความต้องการของคนทุกคนไม่เหมือนกันครับหลวงพี่ อาจจะด้วยสภาพของการศึกษา การอบรบสั่งสอน ฯลฯ ที่สำคัญคือ "กิเลส" ที่เปี่ยมล้น ไม่เบาบางลง คนชาวพุทธที่ไม่ใช้พระสงฆ์ เณร หรือนักปฏิบัติธรรม จึงไม่มีโอกาสจะทำความเข้าใจกับธรรมะของพระพุทธองค์ สักแต่ว่าเป็นพุทธตามทะเบียนราษฎร์ โดยไม่ได้ปฏิบัติใดๆ นับวันคนไทยพุทธจึงฟุ้งเฟือ ทำทุก ๆ สิ่งแค่ "ตนพอใจ" พฤติกรรมที่มีเงินแล้วต้องเปลี่ยนมือถือ นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนสภาพพื้นฐานของผู้คนที่กล่าวถึง "เงินของฉัน คุณจะมายุ่งอะไร" ฯลฯ แต่หากมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ส่วนใหญ่เข้าถึง "ข้อเท็จจริง" ที่เป็นจริงแล้ว ดังเช่นที่หลวงพี่นำมาบอกต่อ จิตสำนึกที่ดีของผู้คน อาจจะกระตุ้นให้ความอยาก "เปลี่ยนมือถือ" ใหม่ลดลงได้ครับ

ธรรมสวัสดีโยม นาย คณิน อุดมความสุข

อนุโมทนาที่โยมมาให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์

อย่างมาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรู้

ความเข้าใจแก่สังคมในการดำรงชีวิต ให้มีความสุข

เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาท

ในชีวิตของผู้คน ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม

ธรรมรักษา

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท