2012 ตอนที่ 2


 

 

 

 

ข้อเท็จจริงว่าด้วยกรณี 2012

ตอนที่ 2

 

บัญชา ธนบุญสมบัติ 

 

E-mail : [email protected]

 


*บทความนี้จะนำไปตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ หากต้องการอ้างอิง โปรดแจ้งผู้เขียนตามที่อยู่ที่ให้ไว้ 

 


 

 

ข้อเท็จจริงว่าด้วยกรณี 2012 : ตอนที่ 1

 

 

 

        ลองมาฟังกลุ่มที่มองโลกแง่บวก หรือ กลุ่มนิวเอจ (New Age) กันก่อน

 

        ทฤษฎีหนึ่งของกลุ่มนี้ ได้แก่ การเรียงตัวในแนวเดียวกันในระดับกาแล็กซี (Galactic Alignment) ซึ่งเสนอโดย จอห์น เมเจอร์ เจนกินส์ (John Major Jenkins)

 

 



          ทฤษฎีนี้มีสาระสำคัญคือ ในวันเหมายัน (อ่านว่า "เห-มา-ยัน") ของปี 2012 ดวงอาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่งพิเศษตำแหน่งหนึ่งในท้องฟ้า ตำแหน่งพิเศษนี้เป็นจุดตัดระหว่างเส้นสุริยวิถี (ecliptic) กับแถบมืดบนทางช้างเผือกใกล้กับกลุ่มดาวซิกนัส (Cygnus) แถบมืดดังกล่าวนี้ชาวมายาเรียกว่า Xibalba be แปลว่า ถนนสีดำ (ในภาพเรียกว่า Dark Rift)
 

 

 

 

 

          

 


ภาพทางช้างเผือกบริเวณกลุ่มดาวซิกนัส

 


         วันเหมายัน หรือวันทักษิณายัน (winter solstice) เป็นวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ของทุกปี ในซีกโลกทางเหนือ (Northern Hemisphere) วันนี้เป็นวันที่กลางวันสั้นที่สุดและกลางคืนยาวที่สุด

         เจนกินส์อ้างว่าชาวมายารู้ล่วงหน้าว่ามวลมนุษยชาติจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณครั้งสำคัญในวันดังกล่าว จึงได้ออกแบบปฏิทินแบบลองเคาท์ให้วันสุดท้ายของบัคทูนที่ 13 คือ วันที่ 13.0.0.0.0 ตรงกับวันดังกล่าว

         อย่างไรก็ดี มีข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ที่ต้องรู้ไว้ด้วยว่า ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในปี 2012 เท่านั้น แต่จะเกิดซ้ำเป็นรอบทุกๆ 36 ปี 

         ผู้ที่สนใจแนวคิดนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/2012_phenomenon ภายใต้หัวข้อ Galactic Alignment

 

         .................................................................................................

 



         อีกทฤษฎีหนี่งของกลุ่มนิวเอจ ได้แก่ ไทม์เวฟซีโร (Timewave Zero) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไทม์เวฟ (Timewave) ซึ่งเสนอโดย เทเรนซ์ เคมป์ แมคเคนนา (Terrence Kemp McKenna)

 


Terrence Kemp McKenna

 

 

 

        สาระสำคัญของทฤษฎีนี้กล่าวถึง “สภาพความใหม่” หรือ “novelty” ซึ่งมีนิยามว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมโยงระหว่างกันและกันของสิ่งต่างๆ ในเอกภพ (universe’s interconnectedness) บางครั้งทฤษฎีนี้จึงเรียกว่า ทฤษฏีสภาพความใหม่ (Novelty Theory)

 

        ทฤษฎีสภาพความใหม่อ้างว่า หากนำเอาค่าสภาพความใหม่ หรือค่าโนเวลทีมาพล็อกเป็นกราฟเทียบกับเวลา ก็จะสามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เปลี่ยแปลงโลกได้

 


กราฟไทม์เวฟกับเหตุการณ์สำคัญๆ ของโลก

 

 

 

          ทฤษฎีนี้ทำนายว่า สภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งสูงสุดเป็นอนันต์ในปี 2012 อันหมายความว่าโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปีดังกล่าวนั่นเอง


ภาพแสดงผลการคำนวณจากทฤษฎีโนเวลที (Novelty Theory) หรือไทม์เวฟซีโร (Timewave Zero)


         ควรรู้ด้วยว่า เดิมทีแมคเคนนาได้คำนวณไว้ว่าสภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งขึ้นจนถึงจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2012 แต่ต่อมาเมื่อเขาทราบว่าช่วงเวลาที่ทำนายไว้ใกล้เคียงกับวันสุดท้ายของบัคทูนที่ 13 ตามปฏิทินมายา เขาจึงปรับวันของเขาใหม่ให้วันทั้งสองตรงกัน

 


         มีข้อสังเกตว่า ทฤษฎีสภาพความใหม่ของแมคเคนนามีการนำคำศัพท์จากเรขาคณิตแฟรกทัล (Fractal Geometry) และทฤษฎีเคออส (Chaos Theory) มาใช้หลายคำ เช่น หลักการพื้นฐานบางข้อของทฤษฎีนี้อ้างว่

 

  • That fluctuations in novelty over time are self-similar at different scales. Thus the rise and fall of the Roman Empire might be resonant with the life of a family within a single generation, or with an individual's day at work. (การกระเพื่อมค่าของสภาพความใหม่เมื่อเวลาผ่านไปมีลักษณะคล้ายกับตนเองที่สเกลต่างๆ ดังนั้น การถือกำเนิดและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันย่อมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวหนึ่งๆ ในหนึ่งรุ่นคน หรือสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการทำงานของคนๆ หนึ่ง) [ข้อสังเกต :  คำว่า self-similar เป็นคำพื้นฐานใน Fractal Geometry]

 

  • This End of History was to be the final manifestation of The Eschaton, which McKenna characterized as a sort of strange attractor towards
    which the evolution of the universe developed. (จุดจบของประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงนี้เป็นการปรากฏของ เอสคาตอน (The Eschaton) ซึ่งแมคเคนนาระบุว่าเป็นตัวดึงดูดประหลาดที่ทำให้เอกภพพัฒนาไป) [ข้อสังเกต : คำว่า strange attractor เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ในทฤษฎีเคออส]


         ใครสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Novelty Theory หรือ Timewave Zero สามารถศึกษาได้จากเว็บต่อไปนี้ :  http://www.2012supplies.com/what_is_2012/timewave_zero.html    

 

       สำหรับทฤษฎีทั้งสองที่นำเสนอไปนี้มีข้อสังเกตโดยทั่วไปว่า....

       การนำ "คำ" "แนวคิด" หรือ "ทฤษฎี" ทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ (ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง) มาตีความตามอำเภอใจเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตน (ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ หรือการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือทางปรัชญา-ศาสนา) ในลักษณะเช่นนี้ เป็นเทคนิคยอดนิยม และเข้าข่ายความ(ไม่)รู้ที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์เทียม (Pseudo-Science)

 


  

โปรดติดตาม ตอน 3

 

ตามความสะดวกของผู้เขียน...อีกเช่นเคย ;-)

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #2012
หมายเลขบันทึก: 312982เขียนเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2009 13:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:53 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท