เหล้าสาโทเป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับยุคสังคมแห่งเกษตรกรรม มีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัวมันเอง กล่าวคือคนสมัยโบราณใช้สาโทเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรม ใช้เป็นส่วนประกอบยา และดื่มในงานเทศกาลต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกันโทษของสาโทก็มีอย่างมหันต์ เพราะถ้าดื่มมากย่อมก่อทุกข์โทษแก่ตนเองและสังคมประเทศชาติ
การดำเนินการเรียกร้องให้มีการผลิตและจำหน่ายเหล้าสาโทได้อย่างถูกกฎหมาย ด้วยข้ออ้างทางเศรษฐกิจ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น พึงกระทำด้วยความระมัดระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายฝ่าย เพราะโทษของเหล้าสาโทมีมากกว่าคุณ ความสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ สติปัญญาของคนในชาติและความทุกข์โทมนัสหลายอย่างไม่สามารถประเมินค่าความเสียหายเป็นจำนวนเงินได้ มิใช่เพียงเพื่อให้เศรษฐกิจอยู่รอดอย่างเดียว ความอยู่รอดของชีวิตทรัพย์สิน และสติปัญญาของคนในชาติเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากเราถูกทำลายสติปัญญาเสียแล้ว แม้จารีตประเพณีและภูมิปัญญาอันมีคุณค่าอย่างอื่นที่เรามีอยู่ก็จะถูกทำลายไปด้วย
๑. การใช้เกณฑ์หลักตัดสิน
เกณฑ์หลักที่ใช้ในการตัดสินคือการพิจารณาถึงต้นตอของการกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือโลภะ โทสะ โมหะ การกระทำที่เกิดจากโลภะมักเป็นเรื่องของความอยากได้ ความต้องการจนเกินพอดี ความต้องการอวดตนในด้านต่างๆ เพื่อข่มคนอื่น การกระทำที่เกิดจากโทสะมักเป็นเรื่องของความโกรธ ความรุนแรง อาฆาต การใช้กำลังประหัตประหารกัน ส่วนการกระทำที่เกิดจากโมหะมักเป็นเรื่องของความโง่เขลาไม่รู้ความจริง ไม่รู้จักคุณโทษ ไม่รู้จักการหลีกเลี่ยงออกจากสิ่งเหล่านี้ อกุศลมูลทั้ง ๓ อย่างนี้ถือว่าเป็นเกณฑ์สากล ที่ใช้พิจารณาต้นตอของปัญหาที่เกิดจากสภาพจิตภายในของบุคคลนั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อตนเองและสังคม
แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดในแง่ของการกระทำของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ การกระทำทุกอย่างล้วนมีอกุศลมูลเจือปนอยู่ทั้งสิ้น จึงดูเหมือนว่าเกณฑ์หลักที่นำมาตัดสินเหล้าสาโทนี้กว้างเกินไป เพราะเครื่องดื่มประเภทอื่นที่ไม่มีแอลกอฮอล์ก็ทำให้คนดื่มติดใจได้(เกิดตัณหา อุปาทาน) เช่น เครื่องดื่มประเภทกระตุ้นประสาท ดังนั้น เกณฑ์หลักจึงทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถเป็นมาตรฐานในการตัดสินเหล้าสาโทได้ แม้ในด้านของผู้ผลิตเหล้าสาโทและภาครัฐในฐานะผู้อนุญาตให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย ก็ไม่สามารถนำเกณฑ์หลักมาตัดสินได้
๒. การใช้เกณฑ์รองตัดสิน
เกณฑ์รองที่ใช้ในการตัดสินคือมโนธรรมสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผู้ดื่ม ผู้ดื่มเหล้าสาโทจะดื่มมากหรือน้อยก็ถือว่าขาดมโนธรรมสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ในด้านของตนเอง ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้เข้าสู่ร่างกายและกดประสาทส่วนกลาง เมื่อร่างกายไม่สามารถขับถ่ายออกหมด สารพิษนี้ก็จะสะสมอยู่ในร่างกายและคอยทำลายอวัยวะส่วนอื่น ๆ จึงถือว่าขาดมโนธรรมสำนึกต่อตนเอง ถ้าเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้คนจำนวนมาก เช่น พนักงานขับรถโดยสาร ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นมาก เพราะชีวิตของผู้โดยสารฝากไว้กับพนักงานขับรถ ถ้าดื่มเหล้าสาโทหรือเครื่องดื่มที่มีลักษณะกดประสาท จึงมีอัตราเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก(ดูตารางที่ ๓,๔ หน้า ๑๘–๑๙ ประกอบ) ดังนั้น เกณฑ์นี้จึงถือเอาจิตสำนึกของผู้ดื่มเป็นหลักสำคัญ คือมีจิตสำนึกที่จะตักเตือนตนเองและสอนตนเองก่อนสอนคนอื่น[1] ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวบุคคลหรือแก้ไขที่เจตนาในการคิดดื่ม เมื่อไม่ดื่มแอลกอฮอล์จึงถือได้ว่ามีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น สังคมย่อมมีหลักประกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือเริ่มที่มโนธรรมสำนึกของผู้คิดดื่มเหล้าสาโทและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากมโนธรรมสำนึกแล้ว ยังมีเหล่าบัณฑิตติเตียนการกระทำและการดื่ม เพราะส่งผลกระทบต่อตนและสังคม เป็นการเบียดเบียนตนและคนอื่น เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่งผลต่อจิตคือทำให้จิตขุ่นมัวลุ่มหลง วุ่นวายสับสน สติปัญญาเสื่อม จึงถือได้ว่าเกณฑ์รองสามารถใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินได้สมบูรณ์กว่าเกณฑ์หลัก เพราะเกณฑ์รองพิจารณาตัดสินที่ตัวบุคคลก่อน จากนั้นสังคมซึ่งมีฐานะผู้รับผลของการกระทำจึงมีบทบาทช่วยตัดสินการกระทำด้วย
ตัวอย่างการใช้เกณฑ์รองตัดสินนี้มีหลักฐานปรากฏในพระวินัยปิฎกมากมาย เช่น กรณีของพระสาคตะที่ดื่มหัวเชื้อสุราจนเมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามความเห็นของภิกษุสงฆ์ว่าการกระทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ภิกษุสงฆ์ต่างมีความเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่สมควรทำ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติพระวินัยปกครองสงฆ์โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ๑๐ ข้อ ซึ่งกล่าวโดยสรุปคือ เพื่อการยอมรับของสงฆ์ (สังคมสงฆ์)สังคมชาวบ้านและความมั่นคงของพระธรรมวินัย[2] พระธรรมวินัยจึงเป็นเหมือนธรรมนูญปกครองคณะสงฆ์ที่ใช้หลักเกณฑ์ความสำนึกของพระภิกษุและสำนึกร่วมของสังคมบ้านเมือง ทำให้การดำเนินชีวิตของพระสงฆ์และชาวบ้านมีความเกื้อกูลต่อกัน เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน จนทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมา
ลักษณะเด่นของเกณฑ์รองคือ เป็นการแก้ปัญหาตรงจุดและพัฒนาจิตอยู่ในตัว กล่าวคือมุ่งให้ผู้กระทำมีจิตสำนึกรับผิดชอบ ตักเตือนตนเองก่อนจะกระทำ เมื่อบุคคลมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา และเมื่อมีเสียงของสังคม(ปรโตโฆสะ) มีเหล่าบัณฑิตช่วยกันวางกรอบ วางระเบียบชีวิตของผู้คนในสังคมเป็นอย่างดีแล้ว อบายมุขทั้งหลายย่อมอ่อนกำลังและไม่สามารถทำลายปราการแห่งธรรมของสังคมได้ เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมประเทศชาติย่อมเจริญมั่นคงต่อไป
๓. การใช้เกณฑ์ร่วมตัดสิน
เกณฑ์ร่วมที่ใช้ในการตัดสินคือ หลักมหาปเทส ๔ ข้อที่ว่าไม่ควร เนื่องจากเหล้าสาโทเป็นสิ่งมีโทษมากกว่าคุณและขัดกับหลักการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ตามระบบพุทธธรรม จึงนับเข้าในสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรดื่ม และไม่ควรอนุญาต หากมีคำถามว่า ทำไม สุรา ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งทำลายผู้คนมากว่าเหล้าสาโท จึงไม่ห้ามและยังถือเป็นสิ่งถูกกฎหมาย คำตอบคือคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่เคยสรรเสริญสิ่งที่ทำลายสติปัญญาของมนุษย์ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงสอนให้หลีกเว้นจากอบายมุขและสิ่งเสพย์ติดเหล่านั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ จริงอยู่ เหล้าสาโทมีดีกรีต่ำกว่าสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น แต่ผลกระทบที่เกิดจากเหล้าสาโทมิใช่เล็กน้อยเหมือนปริมาณดีกรีของเหล้าสาโท ผลกระทบของมันเมื่อบวกกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงและก่อโทษมากมาย ความเสียหายต่าง ๆ มักเกิดจากการมองข้ามสิ่งเล็กน้อย เช่น ไฟที่ก้นบุหรีแม้จะเล็กน้อยก็สามารถขยายลุกลามเผลาผลาญป่าใหญ่ได้หลายพันไร่ งูเห่าแม้จะตัวเล็กแต่ก็สามารถฆ่าช้างได้ บาดแผลที่ร่างกายแม้เล็กน้อย ถ้าไม่รักษาก็อาจเป็นบาดทะยักทำให้ถึงตายได้ แม้ในประวัติการทำสังคายนาพระธรรมวินัย พระสงฆ์สาวกต่างปรารภโทษเล็กน้อย ได้ร่วมกันชำระศาสนาให้บริสุทธิ์[3] จึงทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตราบเท่าทุกวันนี้
ในสังคมไทยก็เช่นเดียวกัน บรรพบุรุษของไทยได้ทำการสร้างชาติ ปกป้องเชิดชูพระพุทธศาสนาด้วยการนำหลักธรรมมาเป็นแม่แบบในการปกครองประเทศและดำเนินชีวิต จนทำให้ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงควบคู่กันสืบมา ภาพสะท้อนเหล่านี้เราเห็นได้จากวรรณกรรมของไทยในยุคต่าง ๆ เช่น ไตรภูมิพระร่วง ถือว่าเป็นเงาสะท้อนภาพของสังคมยุคสุโขทัยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของมึนเมาและสิ่งเสพย์ติดทั้งหลายถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม ดังที่เทพินทร์ พัชรานุรักษ์กล่าวว่า
ผู้ดื่มสุราในยุคแรกนี้(ยุคก่อนกรุงรัตนโกสินทร์) จะถูกมองว่าเป็นคนชั่ว ประพฤติตัวไม่ดี เนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาซึ่งถือว่าการงดเว้นสุราและของมึนเมาเป็นศีลข้อสำคัญ อิทธิพลของพุทธศาสนาทำให้สังคมนำสุราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมาตรฐานของความดี คนดี สิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในวรรณกรรมพื้นบ้านและคติคำสอนต่าง ๆ เช่น ไตรภูมิพระร่วง คำสอนของพระลอ ขุนช้างขุนแผน สุภาษิตสอนหญิง พญาปู่สอนหลาน เป็นต้น ความเชื่อเช่นนี้น่าจะมีผลในทางปฏิบัติอยู่มาก เนื่องจากสมัยนั้นมีการบันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อกับไทยว่าเครื่องดื่มทั่วไปของชาวสยามคือน้ำบริสุทธิ์ ส่วนที่นิยมรองลงมาคือน้ำชา และมีคนพื้นบ้านน้อยคนที่ติดนิสัยดื่มจัด นอกจากนั้นยังมีการบันทึกไว้ว่านักเลงสุราถือกันว่าเป็นความชั่วอันมิใช่คุณสมบัติของสาธุชน และการบริโภคสุราเป็นเรื่องน่าละอายสำหรับคนไทย[4]
ภาพสะท้อนจากวรรณกรรมเหล่านี้จึงไม่ควรมองข้าม ควรที่คนไทยจะนำมาเป็นบรรทัดฐานกำหนดอนาคตของชาติ ไม่ควรนำวัฒนธรรมแบบตะวันตกซึ่งนิยมดื่มไวน์และถือว่าเป็นคนมีระดับมาเป็นตัวอย่างในการพัฒนาประเทศชาติ การพยายามทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้สิ่งที่ชั่วร้ายขยายตัวอย่างสะดวกรวดเร็ว และจะกลายเป็นข้ออ้างของผู้ต้องการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนในทางที่ผิด นำมาเป็นประเด็นต่อรองกับรัฐเพื่อให้มีการอนุญาตสิ่งผิดศีลธรรมและผิดกฎหมายให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายได้หลายอย่างตามมาไม่รู้จบสิ้น
[2] ดูเพิ่มเติมใน วิ.มหา.(บาลี) ๑/๓๙/๒๖.
[4] เทพินทร์ พัชรานุรักษ์, พฤติกรรมการบริโภคสุรา, (กรุงเทพฯ : สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ๒๕๔๑), หน้า ๑๘.
กลาบนมัสการยามสายค่ะ
เมาเพศ หมดราคา
เมาสุรา หมดสำคัญ
เมาการพนัน หมดตัว
เมาเพื่อนชั่ว หมดดี
เมาโสเภณี ก็ซุปเปอร์โกโก ***
(คำสอนของพระพยอม กัลยาโณ)