ในระยะเริ่มต้นของศตวรรษที่ผ่านนั้น เราจะเห็นได้ว่ามนุษยชาติได้ดำรงตนอยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ปั่นป่วน ซึ่งมีอยู่ทั่วขอบเขตของโลก เป็นวิกฤติการณ์ที่ซับซ้อนหลายมิติ ล้วนส่งผลกระทบต่อเราในทุก ๆ ด้าน วิกฤติการณ์ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้มีหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และปัญหาที่น่าสะพึงกลัวอยู่ในขณะนี้ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม[1]
ปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น เมื่อกล่าวถึงภาพรวม เราจะพบได้ว่าเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ล้วนกลายเป็นปัญหาที่จะทำลายตัวมนุษย์เอง และมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริโภคทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมโดยตรง จึงเป็นเรื่องยากที่หลีกเลี่ยงผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศเสีย แผ่นดินทรุด และการร่อยหรอของจำนวนป่าไม้ในลักษณะต่าง ๆ[2]
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังคุกคามมวลมนุษยชาติอยู่ในขณะนี้ เป็นเหตุให้มนุษย์เริ่มหันมาให้ความสนใจ และทำให้เกิดมีการรวมกลุ่มเพื่อดำเนินกิจกรรมในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น กลุ่ม Greenpeace เป็นต้น ถึงแม้ประเทศไทยเอง ก็ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการกำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2525-2529 ดังได้กล่าวปรารภถึงปัญหาการพัฒนาประเทศในช่วยระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมาว่า
“ขณะเดียวกันก็พบว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจนั้น ได้สร้างความเสื่อมโทรมให้แก่ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ๆ หลายด้าน เช่น ที่ดิน อากาศ แหล่งน้ำ และ ป่าไม้ เป็นต้น”[3]
“ป่าไม้” เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติในการช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ (Ecology System) ในอันที่จะป้องกันความวิบัติทางธรรมชาติ เช่น ความแห้งแล้ง ปัญหาการพังทะลายของหน้าดิน ปัญหามลพิษ อุณหภูมิสูงขึ้น เป็นต้น แก่ตัวมนุษย์เอง แต่เพราะอารยธรรมตะวันตกที่มาจากรากฐานทางความคิดที่มองมนุษย์แยกต่างหากออกจากธรรมชาติ ดังที่พระธรรมปิฏก[4] (ป.อ.ปยุตฺโต) และพระเมธีธรรมาภรณ์[5] (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จินดา จันทร์แก้ว[6] ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านพุทธศาสนาของประเทศไทย รวมไปถึงนักวิชาการต่างประเทศ เช่น ปีเตอร์ ฮาร์วีย์[7] และ คลิฟ พอนติ้ง[8] ฟริตจ๊อบ คาปร้า[9] (Fritjof Capra) เป็นต้น ซึ่งมีทัศนะที่ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันว่า ศาสนา ปรัชญา และวิทยาการต่าง ๆ ของตะวันตก รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ไม่ว่าทางฝ่ายทุนนิยม หรือสังคมนิยม แทบทั้งสิ้น ล้วนมีท่าทีต่อธรรมชาติในลักษณะสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
ก. มองเห็นว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่แยกต่างหากออกจากธรรมชาติ
ข. มนุษย์ที่ครอบครองธรรมชาตินั้น จะต้องครอบครอง เป็นนาย เป็นผู้พิชิต เป็นผู้จัดการธรรมชาติ
ค. สาเหตุที่จัดการธรรมชาตินั้น ก็เพื่อนำธรรมชาติมาสร้างสรรปันแต่งเป็นรูปลักษณ์ต่าง ๆ ในการใช้เป็นเครื่องมือบำรุงบำเรอ สนองความต้องการของมนุษย์
จากการแนวคิดดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุให้มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่า และนำผลประโยชน์เหล่านั้นมาสนองความต้องการของตนโดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศที่กำลังจะสูญเสียไป ดังจะเห็นได้จาก
1. สถิติพื้นที่ป่าไม้ของโลกที่ชี้ให้เห็นว่า ป่าไม้นั้น หมดไปปีละ 105 ล้านไร่ พื้นที่เพาะปลูกกลายเป็นทะเลทราย ปีละ 36 ล้านไร่ พันธุ์สัตว์พันธุ์พืชสูญหายไปปีละประมาณห้าพันชนิด เพราะป่าถูกทำลาย[10]
2. และที่ใกล้ตัวที่สุด จากรายงานสถิติของกรมป่าไม้ เมื่อ พ.ศ.2530 มีพื้นที่ป่าไม้ 91,294,152 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 28.47 ของพื้นที่ประเทศ และข้อมูลปี พ.ศ. 2536 พบว่า พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยเหลืออยู่ 83,450,623 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 26.02 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มของการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง พ.ศ. 2532-2536 พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยถูกบุกรุกทำลายถึง 6.18 ล้านไร่[11]
สิ่งที่สามารถชี้ชัดให้เห็นถึงความหายนะที่คนไทยได้รับจากการตัดไม้ทำลายก็คือ เมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้เกิดเหตุน้ำท่วมในภาคใต้อย่างฉับพลัน เนื่องจากไม่มีป่าไม้คลุมดิน เหตุการณ์ดังกล่าวได้คร่าชีวิตคนไปถึง 166 ราย ทำลายบ้านเรือนของราษฎรไป 16,000 หลัง และทำลายพื้นที่เพาะปลูกนับล้านไร่[12] จากสภาพการณ์ดังกล่าว เราจะเห็นได้ว่า ผลของการมองธรรมชาติแบบโลกตะวันตกนั้น ได้กลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทง และสร้างความหายนะให้บังเกิดแก่มวลมนุษยชาติอย่างน่าสะพึงกลัว และได้สร้างความสูญเสียทางด้านกายภาพ และจิตภาพให้แก่คนในสังคมโลกอย่างไม่มีวันจบสิ้น ตราบเท่าที่เขายังถูกอวิชชา และตัณหาครอบงำ โดยมิได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ และท่าทีที่ได้กระทำต่อป่าไม้
จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น จึงย้อนเข้ามาสู่คำถามที่ว่า “ป่าไม้วิกฤติ” ผิดที่วิธีคิด หรือใครทำ? จากหลักการที่กล่าวมาในเบื้องต้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ชี้ชัดให้เราได้เห็นว่า ทัศนะที่คนส่วนใหญ่หลงยึดเป็นแม่บทนั้น ผิดทางเสียแล้ว ดังนั้น เราจึงต้องการ “ทัศนะแม่บท” (Paradigm) อย่างใหม่ ซึ่งเป็นการมองความเป็นจริงด้วยสายตาใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงปฐมฐานในทางความคิด แนวคิดที่ถูกต้องจะหาได้จากที่ใด และมีแนวความคิดที่เป็นแม่บทอย่างไร คำตอบก็คือ พุทธศาสนา และพุทธศาสนามีแนวความคิดอันจะสามารถใช้เป็นทัศนะแม่บทได้ นั่นคือ ไตรสิกขา[13]
หลักไตรสิกขานั้น ถือได้ว่า เป็นทัศนะ หรือแนวความคิดแม่บทที่จะนำไปแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
1. ระดับพฤติกรรม พุทธศาสนามุ่งเน้นให้มนุษย์ มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติป่าไม้ ไม่ฝืนกฎธรรมชาติ ไม่ข่มขืนทารุณ แสวงหาผลประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบ เยียบย้ำซ้ำเติม รีดทรัพยากรที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะบังเกิดขึ้น
2. ระดับจิตใจ เน้นให้ทุกคนมีความเมตตา กล่าวคือ รักและทนุถนอม เอาใจใส่ ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อชตากรรมของธรรมชาติร่วมกัน และมีความกตัญญูต่อธรรมชาติต้นไม้ ดังคำกล่าวที่ว่า ได้กินจากป่าต้องรักษาป่า ได้กินจากน้ำต้องรักษาน้ำ ไม่พยายามที่จะแสดงถึงความเป็นเจ้านายของธรรมชาติป่าไม้ หากแต่ดำรงตนอยู่ในสถานะของความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
3. ระดับปัญญา มองให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของของสรรพสิ่ง กล่าวคือว่ามนุษย์กับป่าไม้จะต้องสัมพันธ์กัน การกระทำการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะส่งผลกระทบถึงกันในทันที ฉะนั้น มนุษย์และธรรมชาติป่าไม้ จะต้องพึ่งพาอาศัย เกื้อกูนซึ่งกันและกัน
พระพุทธเจ้าและเหล่าอริยสาวกได้พิสูจน์ให้เห็นถึงแนวความคิดและหลักการดังกล่าว โดยมีวิถีชีวิตทั้งก่อนและหลังการตรัสรู้ที่ดำรงอยู่ในลักษณะประสานสอดคล้องกับธรรมชาติ มีจิตใจที่รักและทนุถนอมธรรมชาติป่าไม้ อีกทั้งมองเห็นว่า มนุษย์กับธรรมชาตินั้น จะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องนำแนวความคิดดังกล่าว มาวางเป็นทัศนะแม่บท เพื่อที่จะให้มนุษย์และธรรมชาติต้นไม้มีท่าที่ประสานสอดคล้องกัน.
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,ผศ.ดร.
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
[1] Frijof Capra , The turning Point (London: Fontana Paperbacks , 1982), p.1.
[2] วินัย วีระวัฒนานนท์ และสิวลี ศิริไล, “สิ่งแวดล้อมศึกษาตามหลักพุทธธรรม,” ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมและมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล , น. 8-9.
[3] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, แผ่นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2525-2529, ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย , น. 3.
[4] พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) , คนไทยกับป่า , พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ: สหธรรมิก , 2537) , น. 48-50.
[5] พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) , ธรรมะและการอนุรกษ์สิ่งแวดล้อม , พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ: สหธรรมิก , 2538) , น. 24-25.
[6] จินดา จันทร์แก้ว, “พุทธศาสนากับนิเวศวิทยา,” พุทธจักร 10 (ตุลาคม 2533) : 25.
[7] ปีเตอร์ ฮาร์วีย์, “พุทธศาสนากับสิ่งแวดล้อม,” พุทธศาสน์ศึกษา 3 (กันยายน-ธันวาคม 2538) : 54.
[8] Clive Ponting, A Green History of the World (Newyork: St. Martin’s Press, 1991), p.141-160
[9] ฟริตจ๊อฟ คาปร้า , จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ , แปลโดย พระประชา ปสนนฺจิตโต พระไพศาล วิสาโล สันติสุข โสภณสิริ รสนา โตสิตระกูล , พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์ , 2539) , น. 54.
[10] พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), การพัฒนาที่ยั้งยืน (กรุงเทพฯ: บริษัท สหธรรมิก จำกัด, 2537), น. 32.
[11] กองแผนงานและแผนสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม, รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2537 (กรุงเทพฯ: บริษัท อินทิเกรเต็ด โปรโมชั่น เทคโนโลยี จำกัด, 2539), น.11.
[12] วอลเดน เบลโล เชียร์ คันนิงแฮม ลี เค็ง ปอห์, โศกนาฏกรรมสยาม: การพัฒนาและการแตกสลายของสังคมไทยสมัยใหม่, แปลโดย สุรนุช ธงศิลา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2542), น. 261-262.
[13] บาลี องฺ. ฉกฺก. 22/105/422.
ขอบใจอาจารย์ขจิตที่แวะมาแสดงความเห็น มุมมองของอาจารย์ถูกต้องที่สุด