พระพุทธเ้จ้าทรงตรัสเตือนพวกเราด้วยความห่วงใยว่า "วันคืนเคลื่อนคล้อย ชีวิตเหลือเหลือน้อยลงทุกที" คำถามคือ หากปี ๒๕๕๓ เป็นปีสุดท้ายที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ สิ่งแรกที่เราปรารถนาจะทำคืออะไร ในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง ขออนุญาติเสนอว่า "การได้อยู่กับลมหายใจของตนเองอย่างมีสติ" เป็นสิ่งแรกที่เราควรทำที่นี่ และเดี๋ยวนี้
สิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดคือ "ลมหายใจ" และในขณะเดียวกัน "ลมหายใจ" ได้ทำหน้าที่ในการหยิบยื่น "ชีวิต" ให้แก่เรา แทนที่เราจะสนใจ หรือใส่ใจอยู่ทุกเวลาและนาที รวมไปถึงการให้ความสำคัญโดยการกล่าวคำว่า "ขอบคุณลมหายใจ" ในวันใหม่ หรือปีใหม่ แต่เรากลับหลงลืมที่จะใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ และหลายสถานการณ์เรากลายเป็นคน "อกตัญญูต่อลมหายใจของเราเอง" อย่างไม่น่าเชื่อและไม่น่าให้อภัย
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงย้ำเตื่อนเราทุกคนว่า "หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้" ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ ทำงาน และทำกิจกรรมอื่นๆ หากเมื่อใดก็ตาม เราหลงลืมกัลยาณมิตรของเราโดยไม่รู้ว่าเรากำลังหายใจ คำถามคือ เราจะต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว เพราะลืมหายใจหนึ่งวินาที ก็เหมือนกับว่าเรากำลังตายหนึ่งวินาที หากลืมหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน เราก็ตายหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวันเช่นกันตามพุทธพจน์ที่ว่า "คนขาดสติเหมือนคนที่ตายแล้ว"
เืมื่อใดก็ตามที่เราใส่ใจต่อกัลยาณมิตรของเราโดย "กตัญญูต่อลมหายใจของเรา" หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ซึ่งเป็นการระลึกนึกถึงกัลยาณมิตรของเราตลอดเวลาเช่นนี้ เมื่อนั้น เราจะได้รับ "ความตื่น" และ "เบิกบาน" มาเป็น "ของขวัญ" แก่ชีวิตของตนเอง และแล้วเราจะพบว่า "ความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"
ด้วยธรรมะ พร และเมตตา
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒
นมัสการพระคุณเจ้า
อย่าลืมว่า "ถ้าอยากให้ลมหายใจอยู่กับเรานาน ๆ เราก็ต้องรักและห่วงตัวเองให้มาก ดูแลสุขภาพ กาย ใจ ให้แข็งแรง ให้พร้อมเสมอ และลมหายใจก็จะอยู่กับเรานานที่สุด