เดินทางไกลไปกับไทอาหม ตอน ๒๓


น้ำใจไทอาหม

 

          

               กำหนดถึงกวาฮาตี ตี 5  ตอนที่ฉันลืมตาดูโลกนั้นปาเข้าไป 6 โมงกว่าแล้ว  รถยังไม่มีทีท่าว่าจะจอด และที่สำคัญไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะสองฟากทางคือทุ่งนา ไม่มีป้ายสัญญาณใด ๆ  บอกว่าคือส่วนไหนของอัสสัม

                จู่ ๆ  รถก็จอด  แล้วผู้คนโดยเฉพาะผู้ชายก็ลงไปยืนยิงกระต่ายกันกลางทุ่งนา  ผู้หญิงบางคนก็ลงไปกางส่าหรีคลุมตัวนั่งเก็บดอกไม้กับเขาด้วย  ฉันดูแล้วท่าทางอีกนานกว่าจะถึงกวาฮาตี  คนขับจึงยอมให้มีกิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้น

                D.K. โทรเข้ามาถามว่าพวกเรา o.k. ไหม  ถึงไหนแล้ว  ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าถึงไหนแล้วเขามารอเราตั้งแต่ตี 5  คุณกิรานก็มาด้วย และเป็นห่วงว่าเราอาจเกิดอุบัติเหตุ  ฉันบอกเขาว่าเราสบายดี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้น  D.K. บอกให้ถามใครก็ได้แถวนั้นว่าอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่จะถึง  ฉันหันซ้ายหันขวาไม่มีใครเหลือให้ถามได้สักคน  แม้แต่คนขับรถกับเด็กกระเป๋า ก็ลงไปยิงกระต่ายกันชุลมุน

                ฉันบอก  D.K.  ว่าไม่มีใครอยู่บนรถ   เพราะรถจอดให้คนไปพักผ่อน และทำธุรกิจส่วนตัวอยู่กลางทุ่งนา   D.K. หัวเราะกับคำตอบของฉัน  ก่อนวางสายไป

 

                หลังจากคนขับกลับมาได้ความว่า รถจะถึงประมาณ 8 โมง  ช้ากว่ากำหนดไป 3 ชั่วโมง  พวกเขาอ้างว่าถนนไม่ดี ที่จริงไม่น่าจะเป็นข้ออ้างได้  เพราะก่อนกำหนดตารางเวลารถก็รู้อยู่แล้วว่าถนนเป็นอย่างไร  ใช่ว่าถนนเพิ่งไม่ดีเมื่อคืนนี้เสียเมื่อไหร่ ... ฉันละเบื่อจริง ๆ

                ฉันกับนิดพยายามดูป้ายข้างทางว่าเราอยู่ที่ไหน อีกกี่กิโลเมตรจะถึงกวาฮาตี  เผื่อ D.K. โทรมาจะได้บอกถูก สรุปว่ายังเหลือระยะทางอีกเกือบ 100 กิโลเมตร ก็น่าจะถึง 8 โมง ดังที่คนขับบอกนั่นแหละ

 

                8 โมงเศษอีกนิดหน่อย  รถก็เทียบท่าสถานีขนส่ง  สถานีของเขาไม่ได้จัดให้มีที่ทางเป็นสัดส่วน เป็นช่องขาเข้า ขาออก ลานจอดรถ หรือที่รอรับญาติแบบหมอชิตบ้านเรา  รถจะจอดให้ผู้โดยสารลงกันริมถนน  คนรอรับก็จอดรถรอกันริมถนนเหมือนกัน  แล้วถนนใช่ว่าจะสะอาดปราศจากฝุ่น เรียกได้ว่าสกปรกและฝุ่นตลบเลยทีเดียว  ทำให้นึกเห็นใจ D.K. กับคุณกิรานที่ต้องมานั่งรอเราถึง 3 ชั่วโมงกว่า  แม้จะนั่งอยู่ในรถ แต่สภาพรอบตัวก็ไม่น่าอภิรมย์ใด ๆ  ทั้งสิ้น

 

                ฉันรู้สึกเห็นใจและซาบซึ้งในน้ำใจของ 2 คนนี้อย่างยิ่ง และตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสก็จะหาทางตอบแทน เมื่อพวกเขามาเมืองไทย

                D.K. ช่วยขนกระเป๋าไปขึ้นรถ แวะไปส่งคนจีนที่บ้านคุณกิรานก่อน  ฉันกับนิดแวะเอากระเป๋าอีกใบที่ฝากไว้ก่อนขึ้นไปเดมาจิ  จากนั้นคุณกิรานขับรถไปส่งที่โรงแรมเดิมที่เคยพักตอนมาวันแรก  D.K. จะอยู่ดูแลความเรียบร้อย ส่วนคุณกิรานต้องรีบไปประชุม

               

                D.K. บอกว่า เย็นนี้ภรรยาจะทำอาหารเลี้ยงพวกเรา 2 คนที่บ้าน ประมาณ 5 โมงเย็น  หลังเลิกงานแล้วจะมารับ  ส่วนมื้อเช้าและกลางวันเขาสั่งที่โรงแรมจัดการให้เรา  ฉันบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลกับพวกเรา เพราะพวกเราจะอาบน้ำนอน แล้วค่อยเจอกันตอนเย็น

                ฉันกับนิด นับว่าเป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดีโดยเฉพาะในเรื่องการนอน  เรามีความสุขมากกับการนอนในวันนี้  หลังจากที่เกือบสัปดาห์ที่ต้องเดินทางร่อนเร่อยู่ในดินแดนกันดาร  ไม่มีโอกาสได้นอนกลางวันเลยสักงีบ  ซี่งทำให้เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก  เพราะปกติแล้วเราเป็นพวกนอนกลางวันทุกวัน ไม่งั้นสมองไม่แล่น ความคิดไม่บรรเจิด

 

                เราชงอาหารเสริมกินกันคนละแก้วก่อนนอน หลับยาวไปจนถึงบ่าย  ตื่นมากินอาหารกลางวัน  ครั้นจะนอนอีกก็เกรงใจเตียง  เลยลงไปเดินหาผลไม้อร่อย ๆ  กิน และซื้อไปฝากภรรยา D.K. ตอนเย็นด้วย  เราเดินดูข้าวของในตลาด ถ่ายรูป ซื้อน้ำ ซื้อขนม หาร้านอินเตอร์เน็ต  แล้วก็กลับมากินผลไม้ กินขนมที่ซื้อมาอย่างเป็นสุข ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ ...

 

                วันนี้เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุข ที่มีความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครยุ่งกับชีวิตเรา

                แท้จริงแล้วมนุษย์ต้องการอิสระ และอยู่กับคนที่ไว้ใจ คุ้นเคย  บางห้วงเวลา หลายคนฝันถึงความแปลกใหม่ และประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น  แต่มนุษย์ไม่อาจสงบสุขกับสิ่งเหล่านั้นได้  และก็ค้นพบว่า คนคุ้นเคยเดิม ๆ  ความเคยชินแบบเก่า ๆ  ต่างหากที่ทำให้เราสุขสงบ ...

 

                D.K. มาเคาะห้องตรงตามเวลานัด  วันนี้เขาพาเพื่อนที่ทำงานมาแนะนำอีก 1 คน  ตอนแรกนึกว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน  แต่เพื่อนลงกลางทางเพื่อกลับบ้าน

                “เพื่อนเขาอยากเห็นคนไทย”  นี่คือคำบอกเล่าหลังจากนั้น

                “ที่จริงน่าจะเก็บค่าดูเราสัก 100 รูปี”  ฉันบอกกึ่ง ๆ  ประชด  เพราะเขามักจะพาเพื่อนมาดูเราอยู่บ่อย ๆ

 

                บ้าน D.K. เป็นแฟลตข้าราชการที่สะอาดเอี่ยม และกว้างขวางอยู่สบาย   Kitty ภรรยาของเขาทำอาหารอร่อย ๆ  ให้เรากินหลายอย่าง  ฉันว่าอร่อยกว่าอาหารทุกมื้อที่เราเคยกินมา แกงปลารสชาติคล้ายแกงเหลืองบ้านเรา กุ้งผัด แล้วก็ผัดผัก  แม้จะเป็นอาหารพื้น ๆ  แต่ก็อร่อยมาก ๆ

 

                กำลังคุยกันอย่างออกรสหลังอาหาร ก็ต้องรีบกลับเสียแล้ว  ก็คุณกิรานน่ะซีไปนั่งรออยู่ที่โรงแรม  นิดแอบภาวนาว่าอย่ามีคนจีนไปด้วยเลย ไม่อยากเจออีกแล้ว ... งานนี้พระเจ้าเข้าข้างนิด

 

                D.K. บอกว่าเขากับภรรยากำลังสร้างบ้านใหม่อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมที่เราพัก  ปีหน้าคงเสร็จ  คราวหลังถ้าเรามาอีก เขาจะไม่ยอมให้เราอยู่โรงแรมสกปรกนั่นเป็นอันขาด ต้องอยู่ที่บ้านเขา  คราวนี้แฟลตเขาเล็กเกินไป เลยทำให้เราลำบาก

                เรา 4 คน ประกอบด้วย D.K.  Kitty  นิด และฉัน รีบตาลีตาเหลือกกลับมาที่โรงแรมจิ้งหรีด  เราเชิญคุณกิราน และทุกคนไปดูห้องพักเล็ก ๆ  ที่ D.K. สั่งให้พนักงานขัดถู ล้างเสียสะอาดเอี่ยม อุปกรณ์เครื่องนอนทุกอย่างเป็นของใหม่หมด ...

 

                คุณกิรานคุยกับเราอยู่สักพักก็ลากลับ เพราะคืนนี้เราควรรีบนอน  พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 5  เครื่องออก 7 โมงเช้า

                เราร่ำลากัน  ฉันรู้สึกได้ว่าไม่ได้โดดเดี่ยว เมื่อมาอยู่ในดินแดนนี้ ทุกคนดูแลเหมือนเราเป็นญาติพี่น้อง ...  แม้จะไม่สะดวกสบายเหมือนที่บ้าน  แต่ในความยากลำบากเราก็พอมองเห็นว่า มิตรภาพแท้จริงอยู่ที่ไหน

 

หมายเลขบันทึก: 325292เขียนเมื่อ 5 มกราคม 2010 22:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 11:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชอบอ่านบันทึกการเดินทางด้วยสำนวนที่คุ้นเคยนี้ค่ะ

 แท้จริงแล้วมนุษย์ต้องการอิสระ และอยู่กับคนที่ไว้ใจ คุ้นเคย  บางห้วงเวลา หลายคนฝันถึงความแปลกใหม่ และประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น  แต่มนุษย์ไม่อาจสงบสุขกับสิ่งเหล่านั้นได้  และก็ค้นพบว่า คนคุ้นเคยเดิม ๆ  ความเคยชินแบบเก่า ๆ  ต่างหากที่ทำให้เราสุขสงบ ...

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท