ในคอลัมน์ "เหะหะพาที"
ประจำวันศุกร์ที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา
มีข้อผิดพลาดที่สำคัญเกิดขึ้นประการหนึ่ง ซึ่งผมเพิ่งจะพบเมื่อ 2
วันก่อนนี่เอง เมื่อกลับไปอ่านทบทวนอีกครั้ง
ที่ผมเขียนไว้ว่า ผมแวะไปทำบุญวันเกิดของเพื่อนรุ่นพี่ คุณ
สถาพร กวิตานนท์
อดีตเลขาธิการบีโอไอ ที่ วัดชูจิตธรรมาราม อำเภอวังน้อย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นั่นแหละครับ
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็คือ ชื่อของวิทยาลัยสงฆ์ที่ตั้งอยู่ ณ
วัดชูจิตธรรมาราม ได้แก่ "มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย" ครับ
แต่ที่ปรากฏอยู่ในบทความของผมกลับเป็น
"มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" ไปเสียได้
ตอนอ่านหลังจากพิมพ์แล้ววันแรก ผมยังไม่สะดุดใจ
และไม่ได้นึกว่าตัวเองเขียนผิดแต่ประการใด
จน กระทั่งวันหนึ่งจะตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังกลับไปอ่านอีกครั้ง
จึงพบว่าผมผิดไปเสียแล้ว
เพราะวัดและวิทยาลัยสงฆ์แห่งวังน้อยที่ผมไปเยือนที่ถูกต้องก็คือ
มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย
ความ ผิดพลาดจะเกิดขึ้นจากอะไรผมขออนุญาตไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้น
ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
และขออนุญาตกราบขออภัยท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้
แต่เมื่อผิดแล้วก็ดีไปอย่าง เพราะจะได้หาเหตุมาอธิบายว่า
ของที่ถูกต้องคืออะไร?
ทำให้ต้องไปค้นไปคว้าและเป็นที่มาของข้อเขียนวันนี้
ถามว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่ปรากฏอยู่ในคอลัมน์ของผมเมื่อวันที่ 8 ม.ค.
ที่ผมบอกว่าตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อยนั้น มีหรือไม่?
ตอบ ว่า มีครับ และเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ผ่านอำเภอวังน้อย
โดยเฉพาะก่อนจะเข้าตัวอำเภอคงจะเห็นพระอุโบสถ
และบริเวณวัดขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ข้างๆทางได้ถนัดชัดเจน
นี่คืออาณาบริเวณที่ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางใหญ่ ของ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ซึ่งตั้งอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
และมีสถานที่ค่อนข้างคับแคบ
ไม่ค่อยสะดวกในการที่จะประสานกับวิทยาเขตถึง 10
กว่าแห่งทั่วประเทศ
จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ.2542 นายแพทย์ รัศมี และ นาง สมปอง วรรณิสสร เจ้าของโรงพยาบาลสยาม
ได้ถวายที่ดินเนื้อที่กว่า 84 ไร่ ที่ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย ดังกล่าว
เพื่อจัดสร้างศูนย์กลางการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542
จึงได้มีการจัดสร้างอาคารต่างๆ เช่น อาคาร หอประชุม อาคารเรียน
และพระอุโบสถ จนใกล้จะแล้วเสร็จดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้
เสร็จสรรพเมื่อไรก็คงจะเป็นศูนย์กลางที่สมบูรณ์ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ต่อไป
ปัจจุบัน นี้ มหาจุฬาลงกรณ์ฯมีคณะต่างๆอยู่ 5 คณะ ได้แก่
บัณฑิตวิทยาลัย, คณะพุทธศาสตร์, คณะครุศาสตร์, คณะมนุษยศาสตร์
และคณะสังคมศาสตร์
มี วิทยาเขตทั้งสิ้น 10 วิทยาเขต มีวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสิ้น 5 แห่ง
และมีห้องเรียนอยู่ตามวัดในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ รวม 12 จังหวัด 12
ห้องเรียน
สำหรับที่ วัดชูจิตธรรมาราม
ที่ผมไปทำบุญนั้น เป็นที่ตั้งของ มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย
อันเป็นสถานศึกษาของพระภิกษุสงฆ์ ในระดับมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน
โดยอยู่ในสังกัดของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ซึ่งตั้งอยู่ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ถนนพระสุเมรุ กทม.
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ก็คือวิทยาเขตหนึ่งของ
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย นั่นเอง
เท่า
ที่ตรวจสอบจากข้อมูลเท่าที่สามารถค้นหาได้พบว่ามหามกุฏราชวิทยาลัยมี
วิทยาเขตอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8 วิทยาเขต
และมีวิทยาลัยอยู่ในความดูแล 3 แห่ง พร้อมด้วยศูนย์การศึกษาอีก 15
แห่ง
ในส่วนของที่ตั้งของมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ณ อำเภอวังน้อย นั้น
จะอยู่ที่ตำบลสนับทึบ เลยตัวอำเภอวังน้อยไปทางจังหวัดสระบุรี
ผู้บริจาคที่ดิน ได้แก่ นายฉบับ-นางสงวน ชูจิตารมย์ เนื้อที่ประมาณ
186 ไร่ และต่อมาได้มีผู้บริจาคเพิ่มเติมอีก จนรวมเป็น 736 ไร่
การ ก่อสร้างดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2516 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
พระราชทานพระนามาภิไธยในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เป็นนามสถาบัน "มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย" เมื่อ 20 มีนาคม
2520
ปัจจุบัน มีพระภิกษุสามเณร รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,000 รูป
โดยสำหรับสามเณรนั้น จะมีการศึกษาในหลักสูตรนักธรรม
และภาษาบาลีควบคู่กับหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับ ระดับปริญญาตรี-ปริญญาโทจะมีการสอน 3 สาขาวิชา คือ
พุทธศาสนศึกษา, รัฐศาสตร์การปกครอง และการจัดการศึกษา
ซึ่งในเอกสารที่ได้รับระบุว่ายังเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกทั้งชายและหญิงเข้า
มาศึกษาใน 3 สาขาวิชาดังกล่าวด้วย
ครับ! กล่าวโดยสรุปแล้วอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ต้องถือเป็นอำเภอที่มีบุญอย่างมากอำเภอหนึ่ง
เพราะเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ถึง 2 แห่งด้วยกัน
ได้แก่ "มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"
ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
และต่อไปก็จะคงจะย้ายศูนย์กลางใหญ่ไปอยู่ที่วังน้อย
กับ "มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย"
ซึ่งเป็นวิทยาเขตหนึ่งของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
ทั้ง 2
มหาวิทยาลัยสงฆ์ดังกล่าวมีประวัติยาวนานสืบเนื่องไปจนถึงรัชสมัยของรัชกาล
ที่ 5 เลยทีเดียว
คงจะได้มีโอกาสเขียนถึงอีกสักครั้งในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
บอกแล้วไงครับว่าการเขียนอะไรผิดๆเนี่ย บางครั้งก็เป็น
กุศล หรือเป็นผลดีได้เหมือนกัน...คือทำให้ต้อง
ไปค้นคว้าเพิ่มเติม
จนได้ความรู้มาฝากแฟนๆ ซอกแซก
ปึกใหญ่ในวันอาทิตย์นี้.
"ซูม"
"ซูม"
ที่มา; หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ17 มกราคม 2553
เวปลิงค์
พึ่งแวะเข้ามาอ่านครับพระคุณเจ้า ธรรมหรรษา
ยังมีหลายคนที่สนใจใฝ่รู้เรื่องราวของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง และยังมีหลายคนที่ยังสงสัยการปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย อย่างมีคนถามว่า...การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยสงฆ์นี้เหมือนหรือต่างกันกับมหาวิทยาลัยของคนทั่วไปอย่างไร..?
นมัสการครับ
ผมได้ข้อคิดตรงนี้ครับ
การเขียนอะไรผิดๆเนี่ย บางครั้งก็เป็น กุศล หรือเป็นผลดีได้เหมือนกัน...คือทำให้ต้อง ไปค้นคว้าเพิ่มเติม จนได้ความรู้มาฝากแฟนๆ ซอกแซก ปึกใหญ่ในวันอาทิตย์นี้.
นมัสการพระคุณเจ้า ธรรมหรรษา
ผมเคยได้ยินมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งเมื่อครั้งเป็นเด็กอยู่ มศ.2-3 สมัยนั้นอยู่ในวัดในกรุงเทพฯ พระที่ผมเป็นลูกศิษย์ท่านก็เรียน
ที่มหามกุฎ / มหาจุฬา ตอนนี้ก็มีมหามกุฎราชวิทยาลัยวิทยาเขตยโสธร เพื่อนๆ ไปเรียนรัฐศาสตร์ปริญญาโทอยู่ครับ
โอกาสนี้ถือโอกาสมานิมนต์พระคุณเจ้าร่วมเป็นวิทยากร ค่ายจิตอาสา : รวมพลคนต่างวัยหัวใจใฝ่เรียนรู้ ค่ายไร้กรอบ
แต่ไม่ไร้ใจ GotoKnow จัดให้ ผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุน ครั้งที่ 2 ที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 63 (ชุมชนบ้านคำแดง) อำเภอเมือง
จังหวัดยโสธร ระหว่างวันที่ 6-9 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งดำเนินการโดย คุณหนานเกียรติ คุณครูคิม ดร ขจิต ฝอยทอง
และสมาชิก GotoKnow อีกหลายๆ ท่าน
อาจารย์ยูมิ อ.Small man และท่านผอ.พรชัย
นมัสการพระคุณเจ้า
คุณครูคิม
นมัสการเจ้าค่ะ
เจริญพรครูคิม
ท่านอาจารย์แลครับ ขอบคุณมากครับ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในที่นี้ได้ครับ http://gotoknow.org/blog/limcu/335989