Blog "จิตวิทยาการขอ"แห่งนี้ได้นำเสนอประสบการณ์
เกี่ยวกับการขอในทุกแง่มุมด้วยวิถีแห่ง AI มาแล้วทั้งสิ้น 30 บทความ
ดีใจมากครับที่มาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอขอบคุณชาว Gotoknow ทุกท่านครับ
ที่ติดตามผลงานของผมมาโดยตลอด และผม"นายเอิร์ท"หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
บทความใน Blog "จิตวิทยาการขอ"แห่งนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่าน
และผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอผลงานดีๆต่อไป ติดตามอ่านได้เป็นประจำทุกวันครับ ^^
เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องที่ติดค้างกันไว้เมื่อวันก่อนครับ ที่ว่าจะพา Go Inter กัน
วันนี้ก็ตามสัญญาครับ... ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงนั้น จะไปที่ประเทศไหน เกี่ยวกับธุรกิจอะไร... ตามผมมาเลยครับ
เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นที่ประเทศจีนครับ ( ต้องขอบคุณบทความของพี่แจ๋วแหววที่จุดประเด็นให้ผมเขียนเรื่องในวันนี้ขึ้น )
ท่านที่มีประสบการณ์ในการเที่ยวที่เมืองจีนจะทราบครับว่า ไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม รัฐบาลของเขาก็จะจัด(บังคับ)
ให้เราแวะในสถานที่ที่รัฐบาลจัดเอาไว้ให้ ( ว่าง่ายๆก็คือที่ขายของฝากนั้นละครับ ) สถานที่ที่ผมกล่าวถึงนี้ก็คือ "ที่ซื้อชาจีน" ครับ
เคยสงสัยไหมครับ... ว่าทำไมเรามักจะหลวมตัวไปซื้อของฝากพวกนี้ ทั้งๆที่ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้กินได้ใช้
ปล่อยให้ฝุ่นเกาะเล่นซะอย่างงั้นละ จนสุดท้ายก็ทิ้งไป... ลองนึกภาพตามผมดูนะครับ
"เมื่อเราไปถึงที่นั้น... พวกเขาก็จะพาเราไปที่ห้องประกอบพิธีชงชา พร้อมจัดแสดงวิธีชงชาแบบต่างๆของจีน ภายในห้องนั้น
มีการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นที่เหมาะสมสำหรับเก็บรักษาใบชา การแสดงก็จะใช้ "ผู้หญิง" แต่งกายในชุดประจำชาติ
พร้อมอุปกรณ์การชงชาแบบพื้นเมือง ด้วยลีลาที่อ่อนช้อยในการแสดงไม่ว่าจะเป็น การตักใบ การคีบก้อนชา การบดใบชา
การหยิบกาน้ำร้อน หรือแม้กระทั้งการเทชาลงสู่ถ้วย ล้วนแล้วแต่สะกดพวกเราไว้ไม่ให้คลาดสายตาไปไหน เมื่อการแสดงจบ
นักแสดงก็จะหยิบถ้วยชามาให้พวกเราได้ลิ้มลองรสชาติของชา แม้แต่การถือถ้วยชาก็ยังดูสง่างาม สมกับเป็นต้นตำหรับอย่างแท้จริง"
และท้ายที่สุด มักจะจบลงด้วยการออกจากห้องประกอบพิธีชงชา พร้อมกับถุงบรรจุชาคนละใบสองใบกลับบ้าน... ซะอย่างงั้น - -"
ตัดมาที่จุดนี้ครับ.... มาดูกันครับว่าประเทศจีนเขาใช้วิธีการขอแบบไหนถึงทำให้พวกเรายอมควักเงินซื้อใบชากลับบ้านซะงั้น...
จะเห็นได้ว่า... รัฐบาลจีนใช้เทคนิค"การขอแบบอาศัยตัวนำร่อง"โดยการจัดให้"ทัวนักท่องเที่ยว"แวะในสถานที่ที่พวกเขาได้จัดเตรียมไว้
เพื่อ... สร้างโอกาส ...ในการขายสินค้าของพวกเขา และใช้ "การขอด้วยบรรยากาศ"คือพิธีชงชา เป็นตัวสะกดให้พวกเรายอมที่จะควัก
กระเป๋าซื้อใบชาพวกนี้กลับประเทศไป เป็นเทคนิคการขอที่ผสมผสานกันได้อย่างลงเลยตัวทีเดียวครับ... สุดยอดมาก
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ... กับ"เทคนิคการขอแบบผสมผสาน" ผมว่าถ้ารัฐบาลไทยใช้วิธีนี้กับสินค้า OTOP ของเรา
ประเทศเราคงจะมีรายได้เพิ่มเติมจากจุดนี้อย่างมหาศาลเลยละครับ ทั้งยังเป็นการส่งเสริม และสนับสนุนภูมิปัญญาไทยด้วย
การจัดให้มีการแสดงแบบนั้น มันช่วยสร้างบรรยากาศ และเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อได้ดีจริงๆครับ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่มัก
จะตัดสินใจซื้อสินค้าต่างๆ เพียงเพราะอารมณ์ และความอยากได้ของเธอเท่านั้น... สำหรับธุรกิจทั่วไป ก็ลองนำไปปรับใช้ดูครับ
ผมว่าถ้าส่วนผสมของการขอลงตัว... มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะทำให้ผู้บริโภคยอมที่จะควักเงินซื้อสินค้าของเรา... จริงไหมครับ
แล้วคุณละคิดยังไง ^^
เมื่อคืนดูรายการช่องเก้าค่ะ
พูดถึงเรื่องการตบหน้าอก (นม) ของ ผู้หญิง
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านแบบไทย ที่ถึงกับชาวญี่ปุ่นมาขอซื้อลิขสิทธิ์ ถึง 20 ล้าน เลยนะคะ
แต่เจ้าของกลลับบอกว่า "ไม่ขายค่ะ " ทำไมหน่ะหรอคะ ก็เจ้าของบอกว่าถ้าจะมาตบก็ต้องนึกถึงเค้าเพียงผู้เดียว
และสามารถดึงคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยด้วยนะคะ ..น่าส่งเสริม ^^
www.bantobnom.com ใครสนใจลองเข้าไปดูนะคะ ^^
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ นะคะ
ว๊าววว ขอบคุณค่ะสำหรับสาระที่นำมาฝาก
เคยเหมือนกันค่ะ โดนล่อให้ซื้อ ชา ตอนไปเชียงใหม่
โดยที่เป็นคนไม่ชอบชา
แต่บรรยากาศพาไปเหมือนกันค่ะ
บุญรักษาค่ะ ^_^
ประเทศอื่นเค้าก็มีเทคนิคการขายกันดีนะ ใช้วัฒนธรรมเป็นตัวชูโรง
ประเทศไทยใช้อะไร????
แม้แต่ชุดประจำชาติยังไม่แต่งกันเลย
เคยไปที่คุนหมิงค่ะ เขาพาไปนวดเท้าฟรี แล้วแนะนำน้ำมันนวด เราก็ซื้อมาคนละขวดสองขวด แล้วก็เขาชงชาแพงๆให้ดื่ม หอมสุดยอด ป้าๆที่ไปซื้อหมดไปหลายพัน พอมาชงที่บ้านมันไม่เหมือนที่เขาชงให้เลย ไปเที่ยวแบบนี้ไม่รวยจริงต้องใจแข็งค่ะ เพราะน่าซื้อจริงๆ ใครๆก็ซื้อ ^_^
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
@คุณเพลินเพลง >>> ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ... เดี๋ยวจะลองไปศึกษาดูเผื่อนำมาต่อยอดได้ ^^
@คุณsOul_ >>> การขอด้วยบรรยากาศเป็นอะไรที่ทำให้อารมณ์คุณผู้หญิงเผลอใจควักกระเป๋ากันได้ง่ายๆครับ ไม่แปลกหรอกครับ ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์ครับ ^^
@คุณMink >>> ผมชอบคำว่า ใช้วัฒนธรรม นะ ยิ่งวัฒนธรรมของไทยเรา เป็นเอกลักษณ์ที่ชาติอื่นๆยังต้องอิจฉา ถ้าเราจับจุดนี้มาใช้กับการขอในรูปแบบอื่นๆได้อย่างลงตัว ผมว่าสถานที่ท่องเที่ยวในไทยคงจะดึงดูดเงินจากชาวต่างชาติได้อีกเยอะเลยละครับ ขอบคุณสำหรับมุมมองใหม่ๆครับ ^^
@าจารย์ อ้อม ฐิติรัตน์ สุวรรณสม >>> ครับ... ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันเรื่องที่ว่าตอนชิมมันช่างหอมหวาน แต่พอเอามาชงทานเอง มันไม่เหมือนตอนนั้นเลย สงสัยเค้าจะมีเทคนิคเฉพาะ หรือไม่ก็ที่ขายให้เรามันคนละเกรดกับที่โชว์หนะครับ อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่วิธีการนี้ก็ทำให้เราๆท่านๆหลงกลซื้อสินค้ามาแล้วนักต่อนัก บรรยากาศพาไปจริงๆ ขอบคุณที่นำประสบการณ์ดีๆมาแชร์กันครับ ^^
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะครับ
ท่านใดมีประสบการณ์ในลักษณะนี้แชร์กันได้เต็มที่เลยนะครับ
หรือจะแสดงความคิดเห็นในแง่มุมอื่นๆก็ได้ตามอัธยาศัยนะครับ
Blog "จิตวิทยาการขอ" แห่งนี้ยินดีเสมอครับที่ได้เห็นคอมเม้นต่างๆของทุกท่าน ^^
ขอบคุณครับ
Experintial Marketing
ไปเนเธอแลนดืก็เจอแบบนี้ครับ
เทคนิคแบบนี้ในประเทศไทยเองก็มีให้เห็นอยู่บ้างนะครับ
เช่น ที่เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรีครับ
มีแหล่งท่องเที่ยวของกลุ่มหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา
กับศูนย์บ้านขนมหวานครับ ที่โชว์การผลิตสินค้าทุกขั้นตอน
นักท่องเที่ยวเองก็สามารถเข้าไปแจมกับเขาได้ครับ
อยากให้ลองไปเที่ยวกันนะครับ
"ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" ครับ
"ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ครับ"
เป็นแนวคิดที่ดีค่ะ ต้องส่งเสริมกันให้มากขึ้น
สินค้า และการบริการแบบไทยๆเรา ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณทุกท่านครับ
@คุณพิชชา >>> ขอบคุณมากครับ... บริการที่ดี บรรยากาศเป็นใจ เสร็จทุกรายครับ คุณผู้หญิง น่าจะเป็นสูตรสำเร็จทางการตลาดที่ประเทศเราน่าจะนำมาใช้บ้างนะครับ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆที่แชร์มาครับ ^^
@อาจารย์โย >>> ขอบคุณมากครับอาจารย์ เดี๋ยวผมจะไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมนะครับอาจารย์ จะได้เอามาเป็นเคสตัวอย่างแนวๆนี้ ที่เกิดในประเทศเนเธอแลนด์ ^^
@คุณWhat women want? >>> ขอบคุณที่นำความรู้มาแชร์กันครับ... ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลสนับสนุน และจัดรูปแบบการท่องเที่ยวให้เป็นระบบเหมือนประเทศจีน ทำไมสินค้า OTOP ถึงจะไม่เกิดจริงไหมครับ... แต่นี้ ผมคิดว่า OTOP เราบางอันมันธรรมดาจนเกินไป อย่างผ้าไหม... มีเยอะเหลือเกิน หลายจังหวัดมากมาย ไม่รู้ของใครเป็นของจริง ผมว่าผู้บริโภคสับสนพอสมควรครับ ว่าควรจะซื้อของจังหวัดอะไรดี แต่ก็ดีใจครับ ที่บางแห่งก็มีการใช้เทคนิคการขอด้วยบรรยกาศบ้างแล้ว ขอบคุณมากครับ ^^
@คุณpoo >>> ใช้แล้วครับ... ถ้ามีการสนับสนุนที่ดี ผมว่าสินค้าไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลกครับ ขอบคุณมากครับ ^^
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาครับ
แสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่นะครับ.. หรืออยากให้ผมนำเคสการขอที่ท่านประสบปัญหาอยู่ลง
หรือหาวิธีแก้ไขปัญหาการขอทีคาใจท่านอยู่ โพสบอกกันได้ครับ แล้วผมจะเสาะหาเคสตัวอย่างดีๆมาช่วยแก้ปัญหาคาใจให้ครับ
ขอบคุณทุกท่านมากครับ ^^
จ้า พิธีชงชา เป็นพิธีที่สูงส่ง
ความจริง ถ้าชาวต่างชาติรับรู้ว่า
ชาจีนคือของคู่คนจีน
แต่เราเอาไปวางขายตามท้องตลาดโดยที่
ไม่ได้สร้าง อิมเมจอะไรให้เลย
คงจะได้รับความสนใจน้อยทีเดียว
แต่พิธีชงชา หาใครที่รู้ดี และทำได้ถูกต้องนั้น มีน้อยคนนัก
มันจึงเป็นศิลปะที่มีคุณค่า เพื่อให้ได้รับรู้และผลักดันถึง
สินค้าตัวนี้ ให้เป็นสินค้าชั้นนำ ของประเทศจีนได้
j
จะว่าไปแล้ว ตอนกลับมาบ้านนี่ เจอชาหมดอายุแล้วฝุ่นเกาะเยอะเหมือนหันนะเนี่ย
แล้วพวกสปากับนวดแผนโบราณนี่เข้าข่ายเคสนี้ไหมคะ พวกลูกประคำประคบเนี่ย
ขอแนะนำเรื่อง ผ้าไหม นิดนึงนะครับ
ด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใย
และทรงมุ่นมั่นส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาของผ้าไหม
ให้ร่วมใจกันในการรักษาและสืบสานไหมไทยไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติไทยสืบไป
พระองค์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์ "นกยูง" หรือ Peacock Logo ๔ ชนิด
(ประกอบด้วย...Royal Thai Silk ตรานกยูงสีเหลือง, Classic Thai Silk ตรานกยูงสีฟ้า,
Thai Silk ตรานกยูงสีน้ำเงิน และ Thai Silk Blend ใช้ตรานกยูงสีเขียว
ซึ่งมีการจดทะเบียนไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2547 และกำลังยื่นจดในอีก 16 ประเทศ คือ...
อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ เบเนลักซ์ รัสเซีย
สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย)
ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย
และเป็นการใช้เครื่องหมายรับรองอย่างกว้างขวาง ทั้งในและต่างประเทศ
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในด้านมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย
และการแอบอ้างนำคำว่า "ไหมไทย (Thai Silk)" ไปใช้เพื่อการค้า
ทั้งนี้เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อย่างแท้จริง
ดังสมญาในชื่อเสียงไหมไทยว่า Thai silk : The Queen of Textile
แวะมาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ครับ "ขอบคุณครับ"
ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ
@พี่แจ๋วแหวว >>> ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆครับพี่ ผมลองมองมาดูที่สินค้า OTOP ของเราครับ ว่าทำไมถึงไปได้ไม่ไกล สาเหตุหนึ่งคงมาจากการเรื่องอิมเมจของตัวผลิตภัณฑ์ด้วยครับ หลายๆคนคงมองว่ามันเป็นอะไรที่โบราณเฉยๆ จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยม ^^
@น้องชาม >>> เหอๆ แสดงว่าน้องชามติดกับการขอด้วยบรรยากาศซะแล้วละครับ ส่วนพวกลูกประคบของสปา ก็ถือว่าใช่ครับ เคสเดียวกันนี้เลย เพราะตอนเราไปทำสปานั้นมันรู้สึกสบาย ผ่อนคลายจนรู้สึกที่จะซื้อมาทำเองที่บ้าน แต่พอเอามาแล้วมันคนละฟิวครับ คล้ายกัน ^^
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ เป็นประโยชน์อย่างมากเลยครับ ^^
ขอบคุณ ยะ มากนะ
ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับเอิร์ทเลย
และผมเชื่อเหลือเกินว่าคนไทยส่วนมากยังไม่รู้ตรงจุดนี้
เดี๋ยวนำมาขยายผลกันครับ ^^