นับเป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ที่ออกมาให้ธรรมะผ่านไทยโพสต์ ท้วงติงพระสงฆ์บางรูปผู้มอบตุ๊กตาแก่ญาติโยมบางคนไปเลี้ยงดูราวกับเป็นลูก ที่มีชีวิตจิตใจ โดยที่ญาติโยมผู้นั้นถึงกับนำตุ๊กตาไปนั่งเรียนร่วมกับเด็กนักเรียนอื่นๆที่ เป็นมนุษย์อีกด้วย กระทั่งเกิดนิมิตว่าวิญญาณในตัวตุ๊กตานั้นต้องออกจากร่างไปแล้ว จึงจัดงานศพตุ๊กตาโดยนิมนต์พระเกือบ 30 รูปมาสวดงานศพตุ๊กตา นับเป็นความโง่งมงายของพระรูปนั้นและญาติโยมผู้นั้น รวมไปจนถึงพระสงฆ์ที่รับนิมนต์ไปสวดงานศพนั้นด้วยที่มิใช่แค่โง่งมงายแต่น่า จะเป็นความงกเงินที่จะได้จากการไปสวดงานศพตุ๊กตาโดยไม่นำพาต่อความถูกต้อง แต่ประการใดเลย
รายการประเด็นข่าวประเด็นธรรม ทางเอเอสทีวี ได้นำเรื่องนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์ว่า“เป็นเรื่องของคนหูหนวกจูงคนตาบอดพากันไป ดูหนังใบ้” คือเป็นเรื่องของพระโง่เง่าที่มอบตุ๊กตาให้กับคนงมงาย ตามมาด้วยพระสวดศพที่งกเงิน เป็นวงจรอุบาทว์ที่น่าสลดหดหู่ใจในฐานะที่บ้านนี้เมืองนี้เป็นบ้านเมืองที่ มีพุทธศาสนิกชนในทะเบียนบ้านจำนวนมากที่สุด แต่หาคนที่เป็นชาวพุทธแท้จริงน้อยที่สุดดังกรณีตลกร้ายนั้น
ในประเด็นข่าวต่อท้ายจากบทสัมภาษณ์ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี รายงานว่าสื่อมวลชนพยายามติดต่อสัมภาษณ์พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งผู้มีตำแหน่ง สำคัญในคณะสงฆ์ แต่พระรูปนั้นพยายามบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้จนถึงกับ ปิดโทรศัพท์หนีนักข่าวไปเลย นั่นเป็นข้อบ่งชี้ว่าความกล้าหาญในการชี้ถูกชี้ผิดได้หายไปจากพระผู้ใหญ่ที่ มีตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์ไปเสียแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของพระหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างท่าน ว.วชิรเมธี ทำหน้าที่แทน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจท่านมากที่ต้องแบกน้ำหนักความโง่เขลาเบาปัญญาของ พุทธศาสนิกชนที่ขาดปัญญาเพราะพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยขาดสำนึกในการเป็นผู้นำทาง สติปัญญาแก่พุทธศาสนิกชน เห็นก็แต่พระสงฆ์จำนวนมากที่พากันเดินตามญาติโยมไปสู่ความโง่เขลาเบาปัญญา อย่างว่านอนสอนง่าย ได้ชมทีวีเนชั่น สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ก็ยังมีความชื่นใจอยู่บ้าง ว่าพระสงฆ์ผู้กล้าหาญในการเป็นผู้นำทางสติปัญญายังมีอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าพระสงฆ์เหล่านี้ไม่มี-ทั้งไม่ปรารถนาจะมีตำแหน่งและอำนาจในคณะ สงฆ์ (ท่าน ว.วชิรเมธี – พระไพศาล)
พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ สอนไว้ว่า
“ถ้ารักพระ อย่าเลี้ยงพระจนเป็นหมู
ถ้ารักครู อย่าหลงครูจนเป็นควาย”