คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จัดการสัมมนาวิชาการว่าด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 3G ครั้งที่ 3 ขึ้นในหัวข้อ "การศึกษาทางไกล และการศึกษาผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ" (Tele-education and Mobile education)
เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ
เพิ่มการรับรู้ในด้านศักยภาพและข้อจำกัดของเทคโนโลยีในอันที่จะก่อให้เกิดแนวคิดและทางเลือกที่ดีที่จำไปสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
3G สำหรับการศึกษาทางไกล
เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
ตลอดจนก่อให้เกิดแนวทางใหม่ๆ ในการศึกษาต่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาส
ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการศึกษาของชาติให้มีความหลากหลายทั้งในรูปแบบการเรียนการสอนโดยไม่จำกัดวิธีการ
สถานที่ ตลอดจนช่วงเวลาในการเข้าถึงการเรียนการสอนอีกด้วย
เพื่อการให้ระบบการเรียนการสอนทางไกลเป็นไปได้และประสบความสำเร็จ
จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สมดุลกันหลายๆ ด้านทั้งทางด้านเทคโนโลยี
ระบบโครงข่าย วัสดุอุปกรณ์ทั้งต้นทางและปลายทาง
การประสานงานระหว่างหน่วยงาน
เรื่อยไปจนถึงบุคลากรและเนื้อหาในรูปแบบที่เหมาะสมกับการศึกษาในระบบทางไกลที่สอดคล้องกับสภาวะของประเทศ
ในการสัมมนาครั้งนี้มีการนำเสนอเทคโนโลยีเหมาะสมสำหรับการพัฒนาเป็นสื่อในการศึกษาทางไกลและการศึกษาผ่านระบบโทรศัพท์มือถือหลายรูปแบบ
จากบรรดาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ซึ่งนอกจากจะนำเสนอข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทางไกลซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปเช่น
การใช้ดาวเทียมเป็นสื่อในการเรียนการสอนทางไกลแล้วยังมีการนำเสนอข้อมูลและตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
เพื่อการนี้ เช่นการใช้เทคโนโลยีไวแมกซ์ (WIMAX) และเทคโนโลยี 3G
รวมถึงการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนำร่องเพื่อการประยุกต์ใช้โครงข่ายยุคใหม่
(Next Generation Network-NGN)
ที่เป็นการผสมผสานเอาเครือข่ายหลายรูปแบบมาประยุกต์ใช้งานร่วมกันเพื่อลดจุดบอด
และเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันในการศึกษาทางไกลและการศึกษาผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของ กทช.เองอีกด้วย
เทคโนโลยี 3G
นั้นเหมาะสมสำหรับการนำมาพัฒนาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาทางไกล
เนื่องจากอุปกรณ์การสื่อสารมีแพร่หลายตัวเทคโนโลยีสามารถนำเสนอบริการมัลติมีเดียแบบเคลื่อนที่ได้หลากหลายมาก
เนื่องจากสามารถส่งผ่านข้อมูลได้ที่ระดับความเร็วมากกว่า 144 kbps
ในทุกสภาวะ 384 kpbs ในสภาวะเคลื่อนที่และสูงถึง 2Mbps
ในสภาวะกึ่งเคลื่อนที่
มีผู้ให้บริการด้านเครื่อข่ายและอุปกรณ์อยู่แล้วเป็นจำนวนมาก
และมีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งแม่ข่ายและลูกข่ายอยู่ตัวแล้วในเวลานี้
มีความต้องการในเชิงการตลาดอยู่ในตัวสูงทำให้โอกาสในการดำเนินงานมีความเป็นไปได้สูงตามไปด้วยเนื่องจากมีความคุ้มค่าในเชิงการตลาด
ทำให้มีผู้ต้องการเข้าร่วมในโครงการสูง
อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 3G
สำหรับการศึกษาทางไกลยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่บางประการนอกเหนือจากข้อเท็จจริงของการมีแบนด์วิธจำกัดตามธรรมชาติของเทคโนโลยีอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการลงทุนเพื่อขยายโครงข่ายต่อเนื่องในพื้นที่ชนบทห่างไกล
ซึ่งนอกจากจะจำเป็นต้องลงทุนมากเพื่อการติดตั้งโครงข่ายแล้ว
การปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัยเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ
ก็เป็นการการลงทุนมูลค่าหมาศาลตามไปด้วย นอกจากนั้น
อุปกรณ์สำหรับผู้ใช้บริการปลายทางที่เป็นโทรศัพท์มือถือยังมีข้อจำกัดทำให้ต้องดัดแปลงรูปแบบและเนื้อหาในการเรียนการสอนทางไกลให้เหมาะสมกับการนำเสนอผ่านโทรศัพท์มือถืออีกด้วย
เทคโนโลยีไวแมกซ์ (WIMAX)
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีการปรับปรุงพัฒนาและนำไปประยุกต์ใช้กันแล้วมากถึง
145 ประเทศจน กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานเดียว (United Standard)
ทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในโครงการทดลองเพื่อประยุกต์ใช้ไวแมกซ์
ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พบว่า
จุดแข็งของไวแมกซ์ก็คือความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้
สามารถติดตั้งโครงข่ายได้ง่ายและยืดหยุ่นได้มากกว่า
รวมถึงต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเทคโนโลยี 3G
และไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตใช้คลื่นความถี่ใหม่
เนื่องจากสามารถใช้คลื่นความถี่เดิมที่มีอยู่แล้วได้จุดอ่อนโดยธรรมชาติของเทคโนโลยีไวแมกซ์
ก็คือการที่เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆ ยังไม่นิ่งมีโอกาสผันแปรสูง
มีสภาวะแวดล้อมในการจัดการโครงข่ายที่ซับซ้อนกว่า
และการที่ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตคลื่นความถี่ใหม่
อาจทำให้เกิดปัญหาการรบกวนซึ่งกันและกันของคลื่นความถี่ได้สูงมาก
แต่ข้อด้อยที่สำคัญที่สุดเห็นจะได้แก่การขาดเสถียรภาพของโครงข่าย
โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องสื่อสารในระยะทางไกล
กทช.มองเห็นศักยภาพและจุดอ่อนของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้จึงริเริ่มให้มีการผสมผสานเครือข่ายเพื่อการศึกษาทางไกลหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเพื่อศึกษาและประเมินผลการปรับเปลี่ยนจากโครงข่ายดั้งเดิมเป็นโครงข่ายไอพี
โดยมอบหมายให้ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นผู้ดำเนินโครงการทดลองขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต
ซึ่งนอกจากจะมีการทดสอบเชิงวิศวกรรมของการผสมผสานระหว่างโครงข่ายไวไฟ
(WIFI) ไวแมกซ์ (WIMAX) และ CDMA 1XVDO กับ EDGE
เข้าด้วยกันเพื่อทดสอบ ROAMING อินเทอร์เน็ต, FTP, VDO chat และ VoIP
ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใดแล้ว ยังมีการทดสอบการประยุกต์ใช้โครงข่าย NGN
ทั้งที่เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อประเมินการใช้บริการของนักเรียนในจังหวัดภูเก็ตศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีโครงข่ายเดียวกัน
การจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ทำความเข้าใจโครงการและการจัดทำสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีโทรคมนาคมอีกด้วย
โครงการทดสอบและประเมินผลการปรับเปลี่ยนโครงข่ายเป็นโครงข่ายไอพีที่จังหวัดภูเก็ต
นอกจากจะทำให้เกิดป้องเรียนเสมือนขึ้นเป็นครั้งแรกของไทยแล้วยังก่อให้เกิดมิติใหม่ทางด้านการศึกษาผ่านเนื้อหาที่เป็นมัลติมีเดีย
มีการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิคกระบวนการกลุ่มปฏิสัมพันธุ์
การเรียนรู้แบบ Interactive
และการสร้างเครือข่ายทางการศึกษาขึ้นระหว่างสถานศึกษาในลักษณะของเครือข่ายกัลยาณมิตร
เพื่อการใช้ทรัพยากรร่วมกันและเชื่อมโยงการถ่ายโอนองค์ความรู้สู่องค์กร
ชุมชนและท้องถิ่นได้อีกด้วย
ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาทางไกล
และการศึกษาทางไกลผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในอนาคต
นอกจากผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับรู้ถึงศักยภาพและข้อจำกัดเทคโนโลยีใหม่ๆ
แล้ว ยังเรียนรู้การประยุกต์ใช้การสื่อสารผ่านดาวเทียม
เพื่อลดต้นทุนการสร้างโครงข่ายเพื่อการเรียน การสอนทางไกลในชนบท
หรือการใช้การสื่อสารผ่านดาวเทียม WINDS
เพื่อสร้างเครือข่ายการศึกษาชั้นสูงทางไกลข้ามประเทศระหว่างไทย
ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์
นอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องในโครงการเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทางไกล
นำเสนอโครงการตัวอบ่างเพื่อให้ข้อมูล
และเป็นแบบอย่างในการขยายการศึกษาและเพิ่มศักยภาพของคนในชาติอีกหลายโครงการที่น่าสนใจอาทิ
การเรียนรู้ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือของบริษัทโดโคโมะ ในประเทศญี่ปุ่น
ที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือในการเรียนการสนทนาภาษาอังกฤษ
การใช้โทรศัพท์มถือถือเพื่อการเรียนรู้ของผู้พิการทางสายตา
การเรียนรู้โดยใช้ภาพวิดีโอ
การบรรยายทางวิชาการการฝึกอบรมการจัดทำเว็บไซต์
ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
กรณีศึกษาในต่างประเทศที่น่าสนใจ
ยังมีตัวอย่างการใช้กรามีนโฟนเพื่อจัดทำศูนย์ข้อมูลข่าวสารชุมชน (CIC)
ของบริษัทเทเลนอร์ในบังกลาเทศ
ที่ก่อให้เกิดศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนในชนบท
เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ
พัฒนาการประกอบอาชีพและการจ้างงานถือเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่น่าสนใจอีกโครงการ
สำหรับในประเทศไทยมีกรณีศึกษาเป็นต้นแบบเพื่อให้ศึกษาถึงประโยชน์
และจุดอ่อนต่างๆ สำหรับนำไปปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนทางไกลมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ของสำนักงาน กทช.ที่ดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ที่นอกจากจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสู่โรงเรียนมัธยมในพื้นที่ชนบท
และพัฒนาเครือข่ายครูแล้ว
ยังใช้ในการปรับปรุงรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัย โรงเรียน
และองค์กรต่างๆ ในชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัดมหาสารคามของสำนักงาน
กทช.โครงการจัดการศึกษาด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียมและโครงการนำร่องด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสื่อสารสนเทศเพื่อการศึกษาในโรงเรียนสายสามัญระดับมัธยมศึกษาในเขต
กทม.และปริมาณ ซึ่งกทช.ร่วมมือกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจัดทำขึ้น
ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของนักเรียน
นักศึกษาแล้วยังมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงระบบการศึกษาเข้ากับเครือข่ายเพื่อสังคมชั้นนำของโลกอีกด้วย
เหล่านี้ล้วนเป็นเจตนารมณ์ของ
กทช.ในอันที่จะนำเอาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้งหลายมาประยุกต์ใช้เพื่อผลประโยชน์ในการยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมไทยนั่นเอง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 - 19 ส.ค. 2552