เรื่องที่ (๕๐) เมื่อ ดาวฤกษ์ดับ


เราต่างเข้าใจผิด

เรื่องที่ (๕๐) เมื่อ ดาวฤกษ์ดับ

บ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รถโดยสารของคริสตจักรสมาคมพาย่ามาส่งที่บ้าน พ่อเห็นเข้าก็ให้ลูกออกไปรับ พ่อมองลอดม่านหน้าต่างเห็นลูกรออยู่ที่ประตูรถ ยืนดูผู้เฒ่าอายุแปดสิบเดินกระย่องกระแย่งลงมาจากรถคันใหญ่ ไม่ขึ้นไปช่วยพยุงตั้งแต่บนรถ แย่จริงๆ ! ตอนนั้นพ่อหงุดหงิดมาก ถ้าทำแบบนี้ พ่อจะเรียกให้ลูกไปรับย่าเพื่ออะไรล่ะ

หลายวันมานี้ พ่อพยายามระงับความไม่พอใจแล้วขบคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อค้นหาคำตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ที่สุดก็พบคำตอบจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และพบว่าแม้แต่ตัวพ่อเองทุกวันนี้ก็อาจจะผิดพลาดแบบเดียวกับลูกได้

“ผู้ยิ่งใหญ่ล่วงลับ- ไว้อาลัยคุณเหลียงสือซิว –ปรมาจารย์ด้านวรรณกรรม”

ตอนเช้าวันนั้นพ่อตกใจมาก เมื่อเห็นข้อความนี้ในพาดหัวข่าวสีดำขนาดใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้เพราะอาจารย์ เหลียงสือซิว เป็นคนที่ครอบครัวเรารู้จักเป็นอย่างดี พ่อได้แง่คิดในการทำงานจากท่านมาก เป็นปราชญ์ที่พ่อนับถือมากที่สุด พ่อเคยพูดกับเพื่อนว่า “คนแบบอาจารย์เหลียงสือซิว ถึงจะเรียกว่าเก่งจริง เพราะท่านอยู่แนวหน้าของวงการ ตั้งแต่ยังหนุ่ม แล้วทุ่มเทมาตลอดชีวิตจนอายุแปดสิบกว่าก็ยังเขียนหนังสืออยู่ บางคนเปรียบเหมือนดาวตกผ่านมาวูบเดียวก็หายลับ บางคนเป็นเหมือนดาวหาง นาน ๆ จะปรากฏตัวสักครั้ง แต่อาจารย์เหลียงเหมือนดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างไม่มีวันดับ”

แต่ดาวฤกษ์ก็ยังมีวันดับ แม้ท่านจะเป็นคนหนักแน่น เห็นว่า “คนตายคล้ายกับเทียนดับ” “ตายแล้วเน่าเปื่อยไป ไยจัดงานเพื่อหน้าตา” แต่ทว่าในวาระสุดท้ายก่อนจะจากไป ท่านก็ยังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย

คุณซิวเหยียนหมิง ได้เขียนบันทึกเล่าถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์ บอกว่าก่อนจะจากไป อาจารย์เขียนโน้ตไว้ว่า “ช่วยด้วย” แล้วยังร้องตะโกนว่า “จะตายแล้ว” “ขอออกซิเจนมากหน่อย” อ่านถึงตอนนี้ พ่อรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทันที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นี่เป็นคำพูดของนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ ท่านเห็นชีวิตและความตายเป็นเรื่องเบาเหมือนปุยเมฆไม่ใช่หรือ พ่อถึงกับหงุดหงิดและนึกโทษที่ท่านไม่หนักแน่นพอ ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วพ่อโมโหที่ท่านทำลายภาพของอาจารย์เหลียงสือซิวที่อยู่ในใจพ่อ อาจารย์เหลียงสือซิวที่ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันยุติการสร้างสรรค์ผลงาน

แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องแก่ แม้แต่วีรบุรุษที่ไม่มีวันดับผู้อยู่กลางใจของผู้คนนับล้าน ก็ยังเป็นเช่นลูกศรที่ยิงออกไป ไม่ว่าจะห้าวหาญเพียงใด ไม่ว่ายามพุ่งออกไปจะส่งเสียงหวีดดังแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมา คนที่เคยชื่นชมอาจจะเกิดความรู้สึกผิดหวังในตอนแรก แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงที่ต้องเป็นไป

เช่นเดียวกัน พ่อรู้ว่าที่ย่าเคยเลี้ยงดูลูกมาตั้งแต่เล็ก ในความคิดของลูก แม้ย่าจะอายุแปดสิบปีแล้ว แต่ย่าก็ยังคงเป็นยอดคุณย่าเหมือนเมื่อก่อน ถึงแม้เมื่อก่อนนี้ลูกจะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ย่าอุ้มไปพร้อมกับทำกับข้าวไป แต่ตอนนี้ลูกสูงกว่าย่าถึงสองช่วงหัวแล้ว ในใจย่ายังเห็นลูกเป็นเด็ก และในใจลูกก็ยังเห็นย่าเป็นยอดคุณย่าที่ชูลูกขึ้นมาเหนือหัวได้

ปัญหาก็คือว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจผิด ก็เหมือนกับที่พ่อไม่อาจยอมรับความจริง แม้ว่าอาจารย์เหลียงสือซิวจะจากโลกไปแล้วก็ตาม เราควรปรับความคิดของตนเอง แม้ว่าจะทำให้เจ็บปวดบ้าง เราจะต้องทำลายภาพของวีรบุรุษที่อยู่ในความคิดออกไป ไม่อย่างนั้นแล้วโลกนี้จะมีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่สิ่งเก่าได้อย่างไร

ลูกรัก สักวันหนึ่ง ลูกจะรู้ว่า พ่อที่เคยวิ่งนำหน้าลูกเสมอ พ่อที่เพื่อน ๆ ของลูกเรียกว่า มนุษย์หุ่นยนต์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สักวันพ่ออาจจะเหนื่อยหอบอยู่ข้างหลังลูก สักวันหนึ่งลูกจะเห็นว่าคนอื่นจับตามองที่ลูก ไม่ได้จับตามองพ่อแม่อีกต่อไป สักวันหนึ่งลูกจะเห็นว่าฝ่ามือหยาบกร้านที่เคยจูงลูก กลับยื่นออกมาอย่างอ่อนล้าสั่นเทา ร้องขอให้ลูกช่วยพยุง สักวันหนึ่งคนที่ไม่มีวันแก่ในสายตาของลูกอาจจะเขียนตัวหนังสือคำสุดท้ายที่โย้เย้อ่านแทบไม่ออกว่า

“ช่วยด้วย”

ลูกเอ๋ย พยุงย่าของเจ้าหน่อย เวลาออกไปข้างนอกก็ช่วยย่าดูทางด้วย คอยระวังย่าจะสะดุดหิน ช่วยเปิดประตูที่หนักอึ้งให้แล้วบอกว่า “ระวังประตูหนีบมือนะ ไม่ลืมอะไรนะ” เหมือนกับที่ย่าเคยพูดกับลูกเมื่อก่อนโน้น

อย่างนี้จึงจะนับว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้วย่าจึงจะจากไปอย่างสบายใจ เพราะสิ่งที่จะเหลืออยู่ในใจลูกเป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีวันสลาย ไม่ใช่สังขารที่กำลังจะดับ.

จาก สอนลูกให้เป็นคนเหนือคน ผู้เขียน หลิวยง

คำสำคัญ (Tags): #ความคิด#ความตาย
หมายเลขบันทึก: 341920เขียนเมื่อ 5 มีนาคม 2010 06:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 16:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

  • ดีใจจังค่ะที่มีโอกาสได้อ่านบันทึกฉบับใหม่
  • เต็มไปด้วยสาระและข้อคิด 
  • ขอขอบพระคุณค่ะ

ครับ คุณครูคิม

บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเรา

เราลืมไปจริงๆ ครับ

พ่อแม่ก็มักเห็นภาพเราเป็นเด็กอยู่นั่นล่ะ เคยว่า เคยเตือนเราเรื่องอะไร เราแก่ลงแค่ไหน ก็ยังเตือนเราเรื่องเดิมๆ.. เพิ่งได้เข้ามาอ่านวันนี้แล้วจะแวะมาบ่อยๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับข้อความครับ คุณน้อง

การที่มีคนที่รักเรา คอยพร่ำเตือนเราอยู่เสมอ

เป็นความสุขครับ...

By the time we realize our parents were right, we have children who think we are wrong.

พอถึงเวลาที่เราได้ตระหนักว่าพ่อแม่ของเราถูก เราก็มีลูก ๆ ซึ่งคิดว่าเราผิด

................

ขอบคุณครับ คุณน้อง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท