ตอนเย็นหลังเลิกงาน แม้มีความเหนื่อย....อ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้รีบเดินทางกลับ....ยังเดินทอดน่องพูดคุยเล่นกับพี่พยาบาล ตามทางเดินไปเรื่อยๆ เพื่อกลับที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับโรงพยาบาล
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย มีลมพัดเบาๆ เป็นระยะ ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย และอีกไม่นานฝนคงตกกระหน่ำลงมา ข้าพเจ้าภาวนาในใจ “ขอให้วันนี้เหตุการณ์ปกติ สงบๆนะ” คือไม่มีคนไข้ที่ต้องออกไปรับหรือคนไข้ที่ต้องส่งต่อ เพราะวันนี้ข้าพเจ้าปฏิบัติงานเวรเช้าและเวรส่งต่อผู้ป่วยด้วย
และแล้วคำอธิษฐาน...ที่ขอไว้.....ก็....ไม่เกิดผล
เวลาประมาณ 20.00 น. เสียงโทรศัพท์ดัง มีสายเรียกเข้า เป็นเบอร์ของรพ. ให้ออกไปรับผู้ป่วย มีอาการเกร็ง หายใจเหนื่อย ข้าพเจ้ารีบลงจากที่พัก เพื่อไปโรงพยาบาล จัดเตรียมอุปกรณ์ และออกเดินทางพร้อมพี่พยาบาลและพี่คนขับรถ พวกเราใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 10 นาที เมื่อรถจอดเทียบริมทางแล้ว ข้าพเจ้าลงจากรถหยุดมองดูข้างหน้า(พลาง...ถอนหายใจ....)สองข้างทางมืดมาก มีเพียงแสงไฟฉายซึ่งถืออยู่ในมือพี่พยาบาลที่ส่องสว่าง พวกเราค่อยๆเดิน.....ก้ม...มองพื้นดินที่เปียกแฉะและปกคลุมไปด้วยหญ้า ด้วยความระมัดระวัง ระหว่างเดินทางเข้าไปก็มีต้นไม้เต็มไปหมด ไม่ค่อยมีบ้านที่อยู่อาศัย มีเพียง 2 หลัง ที่อยู่ละแวกเดียวกัน
เมื่อเดินทางไปถึงบ้านผู้ป่วย ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านไม้ มีใต้ถุนบ้าน พวกเราเดินขึ้นบันได หยุดอยู่หน้าประตูบ้าน ก็แปลกใจ “ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อย เกร็ง แต่ญาติยืนมองผู้ป่วยอยู่หน้าประตูบ้านด้วยความเป็นห่วง” ญาติบอกว่าป้ามีเรื่องไม่สบายใจ ทะเลาะกับยาย(มีประวัติเป็นShcizophenia)เป็นประจำ ยายไม่ยอมให้ใครเข้าไปในบ้าน ไฟปิดหมด ใครมาก็โวยวายและใช้สิ่งของปา แต่จะให้ความร่วมมือกับหมอหรือพยาบาลเท่านั้น ขณะที่ข้าพเจ้าและพี่พยาบาลเดินเข้าไป ญาติก็พูดเสียงดังๆบอกกับยายว่ามีพยาบาลมาเยี่ยม ข้าพเจ้ายิ้มทักทายยายซึ่งนั่งพิงเสาอยู่ตรงกลางบ้าน ยายยิ้ม..มองสบตาเป็นระยะๆ ไม่มีเอะอะโวยวาย ส่วนป้านั้นนอนนิ่งบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อ ข้างๆมีถังออกซิเจนเล็กๆ 1 ถัง ป้ามีอาการหายใจหอบลึก มือทั้งสองข้างจีบเกร็ง ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา ซึ่งเป็นอาการที่แสดงออกจากความผิดปกติของภาวะจิตใจเรียกว่า Hyperventilation
หลังจากพูดคุย ให้กำลังใจเพื่อให้ป้ารู้สึกผ่อนคลาย ก็เตรียมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาล แต่ป้าส่ายหน้า บอกจะดูแลยายอยู่ที่บ้าน ทำให้พวกเราต้องวางแผนตัดสินใจให้การปฐมพยาบาล แนะนำป้าให้ทำใจให้สบายๆหายใจเข้า-ออก ช้าๆเบาๆ......จนกระทั่งผ่านไปกว่าสิบนาที ป้ายังมีอาการคงเดิม หายใจช้าลงแต่มือทั้งสองข้างจีบเกร็ง พวกเราก็พูดคุยไปเรื่อยๆๆ พลางจับมือและลูบไล้เบาๆอย่างปลอบโยน และเริ่มแนะนำวิธีการหายใจอีกครั้ง
ป้า....หายใจเข้าช้าๆๆๆๆนะ นับ 1 2 3...แล้วค่อยๆๆผ่อนลมหายใจออกนะ.....
ป้าเริ่มทำตาม....ค่อยๆหายใจเข้าช้าๆๆ ผ่านมาระยะหนึ่ง มือที่จีบเกร็งก็เริ่มคลาย พวกเรายิ้มและกล่าวชื่นชมป้า ป้าหันมาสบตาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นว่าทะเลาะกับยายเป็นประจำ บางครั้งยายทำร้ายร่างกาย ทำให้คิดมาก “เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจทำให้มีอาการแบบนี้เป็นประจำ แต่ใช้ออกซิเจนช่วยก็ค่อยๆดีขึ้นแต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร” จากสิ่งที่ป้าบอกเล่า แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ให้การรักษาโรคทางกายเท่านั้นแต่ควรให้การดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจควบคู่ไปด้วย และการให้ความสำคัญกับผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งอาจมีความเครียด วิตกกังวลและซึมเศร้าได้ ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องการกำลังใจมากกว่าปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกเข้าใจและเห็นใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และได้แนะนำวิธีการผ่อนคลายความเครียด และให้กำลังใจป้า เพื่อให้สามารถเผชิญปัญหาต่อไปได้ ป้าพยักหน้ากำมือข้าพเจ้า พร้อมทั้งรอยยิ้ม และคำพูดขอบคุณ ก่อนเดินทางกลับข้าพเจ้าพูดหยอกล้อกับยายซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆว่า “ยายอย่าทะเลาะกับป้าอีกนะ เดี๋ยวป้าไม่สบาย ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนนะ” ยายยิ้ม และโบกมือลา ข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มใจ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยและญาติเป็นการทำงานด้วยหัวใจ.....และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้ม
“รอยยิ้มของผู้ป่วยคือความสุขเล็กๆน้อยๆของคนทำงานบริการ”
เหล็กดัด...
ไม่มีความเห็น