คำต่อคำ"ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" พสกนิกรไทยชาวไทยต้องอ่าน !


คำต่อคำ อำมาตย์ ชื่อ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บันทึกไว้ใน แผ่นดิน...ตามเส้นทางเสด็จฯ ทุกคำ ทุกบรรทัด จากนี้ไป พสกนิกรไทยชาวไทยไม่อาจไม่อ่าน !!

 

"ดร.สุเมธ" เล่าเรื่อง อาการพระประชวร

"พระองค์ท่าน พระชนมพรรษาตั้ง 80 พรรษากว่าแล้ว การที่ทร งพระประชวรก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพระวรกายของพระองค์ท่านก็ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทรงเสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกร อย่างมากมาย ผมได้มีโอกาสตามเสด็จมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 กว่าๆ เป็นต้นมา เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินก ว่าภาวะร่างกายมนุษย์จะพึงแบกรับได้ พระวรกาย ของพระองค์ท่านก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา"

"อย่างไรก็ ตาม ในขณะที่พระองค์ท่านทรงมีพระวรกายแข็งแรง ทรงมองปัญหา วางแผนการแก้ปัญหา ไว้เรียบร้อยแล้ว ทรงตั้งองค์กรที่จะรับงาน ไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการพระราชดำริ และมูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์"

ทำให้มีองค์กรที่สามา รถทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าระยะหลังพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จออก แต่งานทั้งหลายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ มีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเข้า เฝ้าฯ บ่อยมากๆ และทรงรับ พระราชกระแสรับสั่งมา ทำให้ในแง่งานไม่ได้หยุดลง เลย

"ทรงงาน ตลอดเวลา...แม้ประทับอยู่โรงพยาบาล"

แม้ว่าในขณะนี้ พระองค์ จะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระ เทพฯ ก็ยังทรงเข้าเฝ้าฯ และ กราบทูลฯ ถวายรายงาน บาง งานพระองค์ท่านก็มีรับสั่งเพิ่มเติม ในฐานะ พระองค์ท่านทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สถาบัน น ้ำ ท่านก็รับสั่งให้ข้อมูลตลอดเวลา ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การสั่งราชการสมัยใหม่ สั่งงานที่ไหนก็ ได้ และรูปแบบการถวายรายงานก็มีหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องเสด็จฯ ให้เหนื่อย ยากเหมือนสมัยก่อน และงานทุกอย่างพระองค์ท่านทรง หลับตาก็เห็นหมด

มีอยู่ ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงโทรศัพท์สายตรงมาถึง ตอน นั้นก็ประมาณตีสอง ตีสาม ก็ เคย แสดงให้เห็นว่าท่านทรงงานตลอดเวลา แต่ส่วนมากท่านจะทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ

ตัวอย่างคำ แนะนำของในหลวง ตอนนั้นมีเรื่องการตั้งโครงการ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยงานอื่น พระองค์ ท่านทรงเห็นว่าไม่ควรดำเนินการ แต่ได้ทรง อธิบายว่าทำไมพระองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็แจ้งให้ หน่วยงานนั้นยุติเสีย

"ทรง งานอย่างละเอียด...รอบคอบทุกพิกัด"

ท่านมีพระกระแสรับสั่งงานได้เฉพาะเจาะจง บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียด มากกว่าเราที่อยู่ใน พื้นที่ มีอยู่ครั้ง หนึ่งพระองค์จะเสด็จฯ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไต ยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียง จันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่ง ว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิด พลาดไปประมาณ 500 เมตร" เรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่ พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้งๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS ไปกัน เพียบ

พอรุ่ง ขึ้น...เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริงๆ เมื่อ พระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย...บอกผิด" นี่เป็นตัว อย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่าน ต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง

"ทรงพะวงกับงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย"

การทรงงานทุกอย่าง ท่านคิดแต่เรื่องคน อื่นตลอดเวลา ทรงเกรงใจคน ไม่ต้องการให้คนอื่นลำบาก บางคราวเสด็จ ออกโดยไม่แจ้งหมายกำหนดการล่วงหน้า ทรงทราบ ว่าจะมีคนมาคอยเฝ้าฯ จะลำบาก พวกเราก็ต้องคอยเก็งเอาว่าท่านจะเสด็จฯ ไหน เมื่อเสด็จออกถึงได้รู้กันตอนนั้น บางครั้งก็เก็งถูก บางครั้งก็ผิด แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอ มี รถนำขบวนเตรียมไว้ทั้งซ้าย-ขวา ท่านเสด็จออก ทางไหนก็พร้อม มีโอเปอเรชั่นวางไว้เลย

ครั้งที่ แล้วที่เสด็จฯ ประทับโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัด อีก 5 ชั่วโมงจะเสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช ทรงมีรับสั่งให้ ทีมงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตาม สถานการณ์พายุที่จะเข้าฝั่ง พระองค์ท่านทรง พะวงกับงาน โดยไม่คิดถึงพระวรกาย ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงพระประชวรแล้วจะหยุดทรงงาน ขณะนี้ก็มีหนังสือราชการ มีการลงพระ ปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการตลอดเวลา

 

"ผมคิด ว่าเป็นเพราะความเกรงใจคนอื่น การประทับที่ โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ทราบว่าพระอาการทั่วไป หายดีหมดแล้ว เหลือเฉพาะต้องประทับต่อเพื่อทำ กายภาพบำบัด หากท่านเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจทีมแพทย์ การประทั บโรงพยาบาลต่อเพื่อจะทำให้ทีมแพทย์มีความ สะดวก...นี่ผมเดาเอาเองนะ เพราะท่านทรงคิดถึง คนอื่นตลอดเวลา แม้จะเสด็จฯ ไปหัวหิน ก็ทรงรอให้ถึงวันเปิดเทอม เพราะจะได้มีคนน้อยๆ รถราไม่ติด ทุกเรื่องทรงคิดหมด"

ฝนตก แดดออก ทรงเสด็จออก ไม่เคยยกเลิกหมายกำหนดการ มีอยู่ปี หนึ่งน้ำท่วม ท่านเสด็จออกโดนแมลงกัดจนมีแผล ที่พระบาท ท่านก็ยังมีรับสั่งงานต่างๆ ต่อ งานทุกอย่างท่านต้องทอดพระเนตร ทุกงานพระองค์จะทรงห่วงตลอด

"พระ อารมณ์ขันและคำเตือน"

"งานผมก็เคยถวาย รายงานแล้วไม่ถูกพระทัย เพราะเราพลาด เราก็รู้ว่าเราต้องทำใหม่ มนุษย์ คนไหนไม่พลาดเลยตลอดชีวิต คนนั้นบ้าแล้ว บางคนทำผิดเท่าไร ไม่เคยเห็นความ ผิดของตัวเอง คนแบบนี้พระพุทธเจ้าสอนว่า เป็นพวกบัวใต้น้ำ พระองค์ท่านทรงดุ เพื่อไม่ให้เราผิด พลาดอีก"

พระองค์ ท่านเคยตรัสถามว่า จะอยู่ถึง 120 ปีด้วยกันมั้ย เราก็ตอบว่า ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็คง 108 ปี...ทรง มีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทรงมีการเตือนพวกเรา ตลอดเวลา ว่าอย่าให้ตัวเองอ้วนเกินไป ให้มีวินัยในการประพฤติตัว ปีที่แล้ว เราอายุ 69 ปี ก็ขอพร ท่านตรัสว่า "ให้กินน้อยๆ"

"ทรงเตือนว่า เป็นนัก พัฒนาต้องแข็งแรง เพราะต้องออกเยี่ยม เยียนประชาชน อย่าตามใจปาก พออิ่มก็หยุดได้แล้ว"

"ความ ทุกข์...ของพ่อ"

"เรื่องความทุกข์ ท่าน ไม่ทุกข์ แต่ก็ธรรมดาถ้าลูกๆ ทะเลาะกัน พ่อ-แม่ก็ทุกข์...ไม่ว่าจะใส่เสื้อ สีอะไร ก็ลูกท่านทั้งนั้น ตาม วิสัยพ่อ-แม่ รู้สึก Hurt ทั้งนั้น ถ้าลูกตีกัน ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ท่านก็ทรงห่วง" จะเห็นว่าเมื่อมีวิกฤติเป็นระยะๆ ท่านก็ทรงเตือนให้รักษาบ้าน รักษาเมือง ประเทศชาติเกิดอะไรก็ไปกันหมด ประเทศ ไม่สงบ ก็เดือดร้ อนกันหมด ทรงเตือนให้มีสติ เอาสติกลับมา ทะเลาะกันก็เดือดร้อนกันทั้งคู่

 

"พระประมุขแห่งแผ่นดินเห็นอย่างนี้ ก็คงกลุ้มพระทัย แต่เราก็ไม่เคย ทูลถาม แต่ก็สังเกตเห็น"

หลายฝ่ายจะให้ท่านทำอย่างนั้น ทำอย่าง นี้ ทำไม่ได้หรอก พูด อย่างนั้นเป็นการพูดกันตามอำเภอใจ แต่พระองค์ ทรงมีทศพิธราชธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ อวิโรธนะ คือทำผิดไม่ได้ ต้องดูความเหมาะ สม ถูกกฎหมายหรือไม่ ผิด กฎหมายหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าอย่างไร ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ บางทีก็ไม่ รู้เรื่องตอนหนึ่งมี นักข่าวต่างชาติมาสัมภาษณ์ท่านเรื่องพฤษภาทมิฬ ท่านรับสั่งว่า ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีก็มี รัฐบาลก็อยู่ จะให้ท่านออกมาได้ อย่างไร ถ้าท่านออกมาก็จะถูกหาว่าเข้าข้างรัฐบาล ได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ควบคุมกันไม่ได้ แล้วมีคนตาย ท่านก็ออกมา ท่านจะทรงทำอะไร ไม่ทำอะไร เป็นเรื่องที่ยากมาก ท่านมีกรอบ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ ท่าน พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน ไม่เหมือนเรา ใครด่า เราก็ด่าตอบ แต่ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ที่ไหน

"ในหลวง เป็นนักบุญที ่มีชีวิต"

เรื่องที่วิจารณ์เปรียบเทียบกันว่า สถาบันของไทยไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่น ก็ใช่ ของเขาก็ของเขา ไม่เหมือนของเรา เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผมก็เคยพูดไปว่าไม่เหมือนกันระหว่างเมืองไทยกับ ประเทศอื่น ก็มีคนหาว่าผมเล่านิทานโกหก

สถาบันของ เราถวายคำว่ามหาราช ท่านก็ยังไม่รับ พระองค์ท่านเป็นนักบุญที่มีชีวิต ตลอด 63 ปี ท่านทรงงานตลอด ท่านทรงทำอะไรไม่ดีต่อแผ่นดินบ้าง พระองค์ ท่านเหมือนพระ ท่านทำเพื่อทำ ท่านเคยตรัสว่า "ฉันใช้ระบบสังฆทาน ทำไปโดยไม่เจาะจงว่าเพื่อใคร" หาอย่างนี้ไม่ได้แล้ว

 

เด็กรุ่น ใหม่เขาอาจจะไม่เคยสัมผัส ทั้งๆ ที่สื่อก็ออกมามากมาย แต่ยุคสมัยมัน เปลี่ยนไป เพราะไปศึกษาในโลกตะวันตก ก็มีค่านิยมอีกแบบ ที่สุดก็ถูกครอบงำ โดยตะวันตก จนลืมรากเหง้าตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็คิดเรื่องเงินตัวเดียว ทำงานก็เพื่อเงิน ต้องรวย คุณธรรมช่างหัวมัน ทัศนคติเด็กที่คิด เรื่องคอรัปชั่น บอกว่าขอให้สะดวกสบาย มีการบริการ ไม่แยกแยะ เรื่องดีเรื่องไม่ดี...

"เมื่อถูกอ้าง...จะให้ทำอย่างไร"

เรื่องที่ถูก "อ้าง" คนใกล้ไม่ได้อ้าง คนอ้างไม่ได้ใกล้นั้น "ดร.สุเมธ" ต้องถอนหายใจหลาย ครั้ง กว่าจะเริ่มตอบอย่างมีคำถาม

จะให้ทำอย่างไร...แต่เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียก หาก็เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่อง ข่าวลือ มันมีมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือ สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คน ฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป เป็นเรื่องมนุษย์ บ้านเมืองวุ่นวาย เหมือนเชื้อโรค ย่อมมีอยู่รอบตัวเรา สำคัญว่ามี คนเชื่อหรือเปล่า...ทำไมถึงเชื่อกันง่าย

เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบจากฝ่ายต่างๆ "ข้าแผ่นดิน" ที่ตามรอยเส้นทางเสด็จฯ ยังคงก้มหน้าก้มตา เดินตามทาง แห่ง "พ่อ" ของแผ่นดิน

 

ก็ต้องทำหน้าที่ ไปสอน ไปอบรม ไปพูด คนตีกันก็ห่วง พอห้ามตีกันก็โดนด่ากลับ มา ผมไม่เข้าใจคนในสังคมนี้ เราบอกให้สงบ เลิกทะเลาะกัน ก็ด่าเราอีก

 

"ดร.สุเมธ-คนกลาง อำมาตย์ 100 เปอร์เซ็นต์"

"ผม เป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้า ราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่...แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจน มุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ ถ้าผมตายก็ตาย ไม่รู้จะเตือนอย่างไร จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟัง ก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ทำไม่เคยหยุด เสาร์-อาทิตย์ ก็ทำงาน"

 

ถ้าจะให้เตือน มีอย่าง เดียวคือ ไม่ต้องห่วงใคร ถ้า มีสติ ห่วงตัวเองเท่านั้นแหละ ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรง ไหน หรืออยากจะเป็นคนอพยพ อยากอยู่ที่โน่น ที่นี่ ก็เชิญ ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐ ใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เรา ไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ

คนที่เรียกร้องคนกลางมาแก้ปัญหา เราก็สุดปัญญาจะอธิบาย คนกลางก็มีแล้ว มีหมดทุกอย่าง มีเครื่องมือครบ แต่ก็ไม่อยากจะซ่อมกัน ปล่อยให้ เครื่องมือเสีย

เพราะฉะนั้น สื่อเอง แหละที่ต้องทบทวนตัวเอง มีหน้าที่พร้อมมูล คนกลางพูดไปเถอะ ไม่มีมรรคผลหรอก คนกลางออกมา คนฟังก็อาจจะมี คนไม่ฟังก็อาจจะมี ถ้าสื่อจับมือ กันกระหน่ำคนที่ทำผิด พักเดียวก็อยู่ ตอนนี้สื่อไม่มีเอกภาพ แต่ถ้าลอง พร้อมใจกันหยุดทำมาหากินสักพัก แล้วเห็นใคร บ้าๆ บอๆ ก็กระหน่ำให้ อยู่...ขุดโคตรมาเลย รับรองทุกอย่างจะเข้าที่ โดยเร็วที่สุด ดังนั ้นสื่อนั่นแหละคนกลาง

 

ผมคาดหวังในพลังของสื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทาง positive ที่ผมพูดนี้ พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่าลองหยุดสัก 6 เดือน เป็นสื่อกู้ชาติ

"พระเจ้าอยู่หัวท่านทำร้ายใคร...ไม่มี ท่านทรงอยู่เฉยๆ"

ประชาธิปไตย เขาสอนหรือ ว่าให้อยู่เฉยๆ เวลาเห็นคนโกง การมาตามประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นให้เขากินกันอย่างนั้นหรือ แล้วมาบ่นกันทำไม...น่าเศร้า

 

"โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ แล้วจะ ให้ผมทำอย่างไร ผมก็เป็นผม ผมเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำ งานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดด ร่มกลางป่า ก็อำมาตย์ทำทั้งนั้น ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่ รับเงินเดือนทุกเดือน ใครมาด่าเราก็ปลง เราไปช่วยเขา แท้ๆ"

 

ในช่วงสองสามปีมานี้อำมาตย์โดนวิพากษ์ วิจารณ์มากเป็นพิเศษ แต่ "ดร.สุเมธ" บอกว่า "ผมอยู่ตรงกลางจริงๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า ทั้งๆ ที่อยู่ตรงกลางที่สุดแล้ว ผมก็ทำงานไป จะเอาอะไรไปตอบโต้ ใครเดือดร้อนก็ไปช่วย อย่าพะวง ว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"

"คนที่พูดคำว่า จงรัก ภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้า มีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนใน สังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"

คำต่อคำของอำมาตย์ ๑๐๐% จบสมบูรณ์ ๓ ครับ หัวข้อสำคัญของวันนี้ อ่านทบทวนกันให้ดี ผมจะไม่หยิบตรงไหนมา สรุป เพราะถึงเวลาที่ทุกคนต้อง "สรุป-ด้วยใจ" ตัวเองกันแล้ว.

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ..

คำสำคัญ (Tags): #ทรงพระเจริญ
หมายเลขบันทึก: 348917เขียนเมื่อ 1 เมษายน 2010 23:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 18:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ธรรมสวัสดีโยมกิติยา เตชะวรรณวุฒิ

อนุโมทนาขอบคุณ

ขอให้มีความสุข ความเจริญ

ธรรมรักษา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท