หน้าแรก
สมาชิก
มะลิวรรณ
สมุด
นวัตกรรมการเรียนรู้
นวัตกรรมการเรียนร...
มะลิวรรณ
นางสาว มะลิวรรณ หลิน จันทร์ทอง
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
นวัตกรรมการเรียนรู้ สู่การศึกษาที่แท้จริง
นวัตกรรมการเรียนรู้ สู่การศึกษาที่แท้จริง
นวัตกรรมการเรียนรู้
สู่การศึกษาที่แท้
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด
ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ผนวกกับความพากเพียรอุตสาหะได้รังสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาในโลกอยู่ตลอดเวลา เราเรียกสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ว่า
“
นวัตกรรม
”
นวัตกรรมตรงกับคำว่า
“innovation”
ในภาษาอังกฤษ โดยที่ในภาษาอังกฤษคำกริยาว่า
innovate
นั้นมีรากศัพท์มาจากคำภาษาลาตินว่า
innovare
ซึ่งแปลว่า
“to renew”
หรือ
“
ทำขึ้นมาใหม่
”
คนทั่วไป
มักจะเข้าใจผิด
คิดว่านวัตกรรมเป็นคำที่เกี่ยวข้องเฉพาะสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งในเรื่องนี้สมเด็จพระเทรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงอธิบายไว้ในการแสดงปาฐกถาเรื่อง
“
เทคโนโลยี นวัตกรรม กับการพัฒนาประเทศ
”
ในการประชุมประจำปีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2542 มีใจความตอนหนึ่งว่า
“
... คนเรานั้นจะต้องมี
นวัตกรรม คือต้อง
innovative
หรือต้องรู้จักสร้างสรรค์ ต้องมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ว่าก็ต้องสามารถ
ปรับโลกให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นอยู่หรือความพอใจความสุขสบายของตัวเองเหมือนกัน
ต้องแก้ปัญหาด้วยความคิด
พอทางหนึ่งตันก็ต้องหาทางใหม่ ไม่งอมืองอเท้ายิ่งใน
ภาวะวิกฤต
ยิ่งต้องการนวัตกรรม
ซึ่งไม่เฉพาะแต่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นนวัตกรรมของทั้งระบบโดยรวม ตั้งแต่สังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตหรือ
วัฒนธรรม...
”
นวัตกรรมทางด้านการเรียนรู้ก็เช่นกัน จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัย
“
วิถีคิด
”
ที่ออกนอกกรอบเดิมพอสมควร คือจะต้อง
ออกนอก
“
ร่อง
”
หรือช่องทางเดิมๆที่เคยชิน เรียกได้ว่าจะต้องพลิกกระบวนทัศน์
(
shift paradigm
)
ที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับการเรียนรู้เสีย
ใหม่ จากที่เคยเข้าใจว่า
การเรียนรู้ก็คือการศึกษาเพียงเพื่อ
ให้ได้รู้ไว้
มาเป็นการเรียนรู้ที่นำมา
ใช้พัฒนางาน พัฒนาชีวิต
ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้แบบหลังนี้จึงเป็นความรู้ชนิดที่แนบแน่นอยู่กับงาน เกี่ยวพันอยู่กับปัญหา
เป็นความรู้ที่มีบริบท (
context-riched
)
ไม่ใช่ความรู้ที่อยู่ลอยๆ
ไม่สัมพันธ์หรืออิงอยู่กับบริบท
ใดๆ (
contextless
) การ
เรียนรู้ตามกระบวนทัศน์ใหม่นี้จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการพัฒนาตัวโจทย์ขึ้นมาก่อนโดยใช้ปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเป็นหลัก เรียกได้ว่ามีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันทำให้
เกิดการเรียนรู้นี้ขึ้น การเรียนรู้ประเภทนี้เรียกได้ว่า
เป็นการเรียนรู้แบบอุปสงค์ หรือแบบต้องการ
(
demand-side
learning
)
คือ มีความประสงค์ มีความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง แล้วจึงเกิดการเรียนรู้ขึ้นมา
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับการเรียนรู้แบบที่เราคุ้นเคยกันดีในระบบการศึกษา ที่มักจะเน้นการถ่ายทอดความรู้จากครูไปสู่นักเรียน คือจากผู้รู้ไปสู่ผู้เรียน คือมีลักษณะ
เป็นการเรียนรู้แบบอุปทาน
หรือจัดหาให้
(
supply-side learning
)
ซึ่งข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจนของการเรียนรู้แบบนี้ก็คือ
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูต้องคอยป้อน(ยัด) ความรู้เหล่านี้เข้าปาก(หัว) ผู้เรียนอยู่ตลอดเวลา
โดยมักจะใช้การประเมิน การวัดผล หรือการสอบ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับใช้
“
ผลัก
”
หรือ
“
ดัน
”
ให้คนหันมาสนใจ ตั้งใจเรียน
การเรียนรู้แบบนี้ครูจึงมีหน้าที่หลักในการ
“
ผลัก
”
หรือ
“push”
ให้เกิดการเรียนรู้
มากกว่า
ที่จะปล่อย
ให้ผู้เรียน
“
ฉุด
”
หรือ
“
ดึง
”
(
pull
) ตัวเองไปโดยใช้ความสนใจหรือความต้องการที่จะเรียนรู้เป็นตัวดึง
ซึ่งก็คือแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนเองโดยไม่ต้องให้ใครมาออกแรงผลัก ออกแรงดันดังเช่นที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้
การเรียนรู้ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่นี้จะสร้างมุมมองที่ค่อนข้างจะเป็นองค์รวม
(
holistic view
) คือมองเห็นงาน เห็นปัญหา เห็นชีวิต ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน มองว่าปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของงาน และมองเห็นงานเป็นกระบวนการที่สำคัญของชีวิต จนอาจเข้าใจลึกซึ้งถึงขั้นที่เห็นว่า
“
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
”
ตามคำกล่าวของท่านอาจารย์พุทธทาสเลยทีเดียว ในขณะที่กระบวนทัศน์เดิมจะมองงานด้วยสายตาที่คับแคบกว่ามาก คือมองเห็นงานว่าเป็นเรื่องของการทำมาหากินประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้เงินมาสำหรับจับจ่ายใช้สอยเพียงเท่านั้น ผู้ที่คิดเช่นนี้ มักจะเห็นงานว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่ต้องทนทำไป เพียงเพื่อให้ได้เงินมาจึงจะมีความสุข หลายคนถึงกับบ่นกับตัวเองว่า เมื่อไรจะถึงวันหยุด เมื่อไรจะถึงวันเสาร์-อาทิตย์ (สำหรับคนที่ทำงานออฟฟิศ หรือรับราชการ) ซึ่งการคิดแบบนี้จะเห็นได้ทันทีว่าพวกเขาเหล่านี้จะมีชีวิตที่
“
ขาดทุน
”
ไปทุกๆสัปดาห์ เพราะสัปดาห์หนึ่งๆ จำต้องทนทุกข์ทรมานไป 5 วัน โดยที่รู้สึกสุขได้เพียงแค่ 2 วัน เรียกว่าต้องขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆทุกสัปดาห์ แต่ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่นี้ที่มองเห็นงาน ปัญหา และชีวิตว่าเป็นสิ่งเดียวกัน จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพร่ำสอนอยู่เสมอว่า
“
ความสุขที่แท้ มีอยู่แต่ในงาน
”
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งสำหรับ
สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ แต่ลำพังเพียงแค่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือวิถีคิด ก็มิได้หมายความว่านวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เองโดยปริยาย จำเป็นจะต้องอาศัยปัจจัยและ
องค์ประกอบอื่นๆมาอุดหนุนเกื้อกูลจึงจะประสบผลสำเร็จ
ในบทความนี้จะขอหยิบยก
3 องค์ประกอบหลัก
ที่ถือว่าจำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้แก่
(1) เวลา
(2) เวที
และ (3) ไมตรี
องค์ประกอบแรก
ที่จะขอพูดถึงก็คือเรื่องของ
“
เวลา
”
พูดง่ายๆและตรงที่สุดก็คือถ้าไม่มีเวลา การเรียนรู้ก็ไม่เกิดหรือเกิดได้ยาก ในหลายๆที่เรามักจะพบเห็นคนที่มีงานหรือที่ทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันจนดูเหมือนว่าไม่มีเวลาสำหรับใช้วิเคราะห์สังเคราะห์ปัญหาหรือสรุปบทเรียนใด ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันนี้เราก็มี
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีไปอย่างมากมาย ชีวิตน่าจะสะดวกสบายและมีเวลามากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าคนเรามีกลับมีเวลาว่างน้อยลง ความเจริญทางด้านต่าง ๆ มีการพัฒนาไปอย่างกว้างขวาง ในบางจังหวัดบางพื้นที่มีการจัดระบบชลประทานที่ดีทำให้ชาวนามีน้ำเพียงพอที่จะทำนาได้ปีละกว่า 3 ครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่า ชาวนาไม่ได้มีสถานภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พวกเขากลับมีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลง สุขภาพเสื่อมโทรมเพราะทำงานหนักขึ้น สัมผัสกับสารเคมีมากขึ้น มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง จากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่า
เ
วลาคือปัจจัยที่สำคัญอันดับแรกที่จำเป็นยิ่งสำหรับการเรียนรู้ องค์กร ชุมชน หรือครอบครัว
คนที่มัวแต่ยุ่งอยู่ตกจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า
“
โงหัวไม่ขึ้น
”
จะทำให้หมดโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ และไม่มีเวลาสำหรับใช้คิดสร้างสรรค์ได้เลย สภาพเช่นเดียวกันนี้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้ในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของสถาบันที่เป็นผู้นำเรื่องการเรียนรู้เช่นกัน นักศึกษาปริญญาโทส่วนใหญ่ต้องทำงานไปและเรียนไปด้วยควบคู่กัน หลายคนไม่เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ทั้งนี้เนื่องจาก
ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าชั้นเรียน
หรือ
ไม่มีเวลาสำหรับ
“
ย่อย
”
สิ่งที่ได้รับฟังหรืออ่านมา บางคนก็
ไม่มีเวลาที่จะร่วมทำงานกลุ่ม หรือวิเคราะห์กรณีศึกษา
ที่อาจารย์มอบหมายให้ ถึง แม้
ตัวอาจารย์
เองก็เช่นกันหลายคน
ยุ่งอยู่กับงานสอน
ทั้งที่เป็นโครงการปกติและโครงการพิเศษต่างๆ จน
ไม่มีเวลาว่าง
พอที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติม
หรือให้เวลาในการพบปะพูดคุยกับนักศึกษานอกชั้นเรียนได้เลย จากตัวอย่างทั้งหมดที่นี้คงจะเห็นแล้วว่า
เวลามีความสำคัญต่อการเรียนรู้เพียงใด นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่า
“
เวลา
”
นอกเหนือจากเรื่องเวลาแล้ว องค์ประกอบตัวต่อไปที่จะช่วยสนับสนุนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ได้ก็คือ จะต้องจัดให้มี
พื้นที่
หรือ
เวที
ไว้ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เวทีการเรียนรู้นี้ ถ้าจะให้ดีควรมีรูปแบบที่หลากหลาย คือ มีทั้งเวทีที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ อาทิเช่นการจัดประชุมรูปแบบต่างๆ และเวทีในรูปแบบที่อาจจะไม่เป็นทางการมากนัก คืออาจจัดในลักษณะที่เป็นการรวมตัวของคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน หรือทำงานด้านเดียวกัน เป็นการจับกันแบบ
“
หลวมๆ
”
คือให้เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ในภาษาอังกฤษเรียกการ
“
ชุมนุม
”
ของคนกลุ่มต่าง ๆ นี้ว่า
Community of Practices
หรือเรียกสั้นๆว่า
“CoPs”
ตามจริงแล้ว การสร้าง
CoPs
ให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่นั้น สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องพยายาม
สร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นให้มากที่สุด การที่
CoPs
ประกอบด้วยคนที่มีพื้นฐานและ
ประสบการณ์หลากหลายจะทำให้ได้มุมมองที่ค่อนข้างเปิดกว้าง แต่ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ จะต้องสร้าง
บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายนี้ด้วย โดยที่ทุกคนจะต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ไม่ใช่ไปกันคนละทิศคนละทาง กำหนดเป็นหลักการได้ว่า
“
ความคิดเห็นจำเป็นต้องหลากหลาย แต่เป้าหมายจะต้องเป็นหนึ่งเดียว
”
ความคิดเห็นที่หลากหลายนี้จะเป็นหัวเชื้อสำคัญที่ทำให้เกิดพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่สำคัญก็คือ คนที่มารวมตัวกันนี้จะต้องรู้สึกอิสระและปลอดภัย ความเป็นอิสระ และความรู้สึกปลอดภัย จะทำให้คนเชื่อใจกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน ทำให้พร้อมที่จะแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เวทีดังกล่าวนี้เป็นได้ทั้งพื้นที่ทางกายภาพ
(physical space)
ที่คนสามารถเข้ามาพบปะ พูดคุย ประชุมกัน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ หรืออาจจะเป็นพื้นที่เสมือน
(virtual space)
ที่สร้างขึ้นมา
โดยอาศัย
เ
ครือข่ายอินเทอร์เน็ต
(internet)
ก็ได้ อาทิเช่น การใช้
e-mail loop, webboard
หรือ
weblog
จริงๆแล้ว
เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ
(Information & Communication Technology)
หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า
“ICT”
นั้นเป็นเครื่องมือ
ที่ค่อนข้างทรงพลังอย่างยิ่งในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้
ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มการใช้
internet/ search engine
และ
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
(e-learning)
ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
ICT
นั้นอาจช่วยได้ในเรื่อง
“to know”
หรือ
“
การรู้
”
แต่อาจจะไม่สามารถช่วยเรื่อง
“to learn”
หรือ
“
การเรียนรู้
”
ได้มากนักเพราะเรื่อง
การเรียนรู้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยคน เป็นกระบวนการที่ต้องผ่านคนเป็นหลัก
คนหลายคนยังสับสนแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่เราเรียกว่า
“
รู้
”
ซึ่งก็คือ
“
to know”
กับ
การเรียนรู้
ซึ่งก็คือ
“to learn
”
การรู้กับการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน การรู้ หรือ
to know
เป็นการมองภายใต้กระบวนทัศน์เดิม คือเป็นการมองแบบ
supply–side
มองเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการให้รู้ จึง
supply
ให้ ในขณะที่
การเรียนรู้หรือ
to learn
นั้นเป็นการมองภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่ ภายใต้มุมมองแบบ
demand–side
เป็น
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมาควบคู่กับการที่ได้
“
ทำจริง
”
เป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ
(learning by doing)
เมื่อได้ทำ ก็ทำให้ได้ รู้จริง หรือเมื่อทำไปเรื่อยๆก็อาจจะ รู้แจ้ง ได้ ไปในที่สุด
จุดแข็งของ
ICT
นั้นอยู่ตรงที่สามารถสร้างเครือข่ายที่กว้างไกลและสามารถขยายไปได้อย่างรวดเร็ว
การสร้างเวทีเสมือนบนเครือข่าย
ICT
จึงเป็นเวทีที่ทำให้ผู้สนใจเข้าถึงได้โดยง่าย สะดวกรวดเร็ว ทำให้สามารถขยาย การรู้ หรือ
to know
นี้ออกไปได้อย่างกว้างขวาง โจทย์ที่เหลืออยู่ก็คือ
จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้ที่ได้รู้เหล่านี้เดินต่อไปจนถึงขั้นที่จะลองนำมาปฏิบัติ เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริงต่อไป
ขอย้ำอีกครั้งว่า
I
CT
นั้นเป็น
“
เครื่องมือ
”
ที่ทรงพลังในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้
แต่
ICT
มิใช่
“
เป้าหมาย
”
ICT
มิได้เป็นตัวนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ปัจจัยหรือ
องค์ประกอบที่ 3
ที่จำเป็นสำหรับสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ นอกเหนือจากที่ต้องมี เวลา มีพื้นที่หรือเวทีให้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า
ไมตรี คือต้อง มีใจ
ให้แก่กันและกันด้วย ท่านลองหลับตานึกดูก็แล้วกันว่า ถ้ามีเวลาให้ และมีการจัดสรรพื้นที่ให้พบปะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกันแล้ว หากแต่ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องมีใจที่ปิดกั้น คับแคบ เต็มไปด้วย
อัตตา
(ego)
มีอคติ
(bias)
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เปิดกว้าง ต้องเป็น
“
ใจที่ว่าง
”
ว่างพอที่จะพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะ
“
น้ำชาล้นถ้วย
”
คือไม่สามารถรับอะไรใหม่ลงไปได้อีกเลย นอกจากนั้นใจที่ว่างยังหมายถึงการที่ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆ จะต้องพัฒนาให้คนมีความสามารถที่จะ
“
ลอกทิ้ง
”
สิ่งเก่าๆ คือมีทักษะที่จะ
“unlearn”
ได้ด้วย ใจที่
ปล่อยวาง
จะเป็นใจที่ไม่อคติ จะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัจจุบันขณะ เห็นทุกอย่างในลักษณะที่
“
ใหม่หมด สดเสมอ
”
เพราะเป็นการเห็นด้วยความระลึกรู้ด้วยความรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเห็นนั้นเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ซ้ำกับสิ่งที่ได้เกิดไปแล้วในอดีต เป็นความรู้สึกที่ตื่น ชื่นบาน ต้องการแบ่งปัน และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
การศึกษาที่แท้นั้น จะไม่มองผู้เรียนเปรียบดั่งเป็นถังน้ำ และมองบทบาทของครูผู้สอนว่าเป็นผู้ที่มีหน้าที่เติมน้ำให้เต็มถัง ซึ่งก็จะเป็นการมองแบบ
supply–side
หากแต่ต้องมองว่า
หน้าที่ของครูอาจารย์
นั้นจริงๆ แล้วก็คือ
ผู้ที่จุดไฟแห่งความใฝ่รู้ให้กับผู้ที่เป็นศิษย์ ทำให้ศิษย์เกิดฉันทะมีความต้องการที่จะเรียนรู้
และ
พัฒนาตนอย่างไม่จบสิ้น
เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า
“
ไม่
ว่าพ่อครัวจะเก่งกาจในฝีมือปรุงอาหารสักเพียงใด หากผู้ที่รับประทานไม่หิวแล้ว อาหารมือนั้นก็คงจะไม่มีความหมายอะไรมาก
นัก
”
ดังนั้น
โจทย์ที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้น่าจะอยู่ตรงที่ว่า เราจะต้องทำอย่างไรให้คนหิวกระหายและใคร่ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
การสร้างฉันทะ สร้างความต้องการที่จะพัฒนางาน พัฒนาชีวิตให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เท่ากับเป็นการสร้าง
demand
สร้างแรงดึง
(pull)
อันนำไปสู่การเรียนรู้ชนิดที่แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับชีวิต
สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้อง
รู้จัก
“
บริหารความว่าง
”
คือต้อง
ไม่ลืมที่จะจัดเวลา หาเวลาว่าง เตรียมพื้นที่ หาที่ว่าง ไว้สำหรับใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญคือจะต้องไม่ลืมที่จะพัฒนาใจให้รู้จักการปล่อยวาง และว่างพอที่จะรู้สึกและเข้าใจในคุณค่าของสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราอยู่ในขณะนี้
-----------------------
เรียบเรียงโดย
ผศ. มานิต
ยอดเมือง
โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี....
6
มิถุนายน
2549
ที่มา
:
http://www.kmi.or.th/document/LearnInnovation.doc
http://www.cie.th.edu/web2/06_menu01.html
http://gotoknow.org/ymanit
เขียนใน
GotoKnow
โดย
มะลิวรรณ
ใน
นวัตกรรมการเรียนรู้
คำสำคัญ (Tags):
#นวัตกรรมการเรียนรู้สู่การศึกษาที่แท้จริง
หมายเลขบันทึก: 34929
เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2006 14:01 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:11 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
มะลิวรรณ
สมุด
นวัตกรรมการเรียนรู้
นวัตกรรมการเรียนร...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท