เมื่อเห็นสภาวะชัดแจ้งเช่นนี้ คุณภาพของรูป คุณภาพของสติ
เขาเรียกกันว่า Mental Expression แห่งการรับรู้สภาวะ
รู้สภาพตลอดสายแห่งการเกิดและดับของชีวิต ของขันธ์ ๕ นั่นเอง
ซึ่งขันธ์ ๕ ที่เกิดดับแต่ละครั้งนั้น ผู้มีปัญญาญาณท่านั้นที่จะรู้ได้
มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาตรงนี้เป็นสภาวะปัญญาธรรม
กายเป็นสังกัปปะปัญญา
ถ้าเป็นภิกษุเป็นภิกษุปัญญา เป็นสมาธิที่เป็นสมาธิปัญญา
เป็นพละเรียกว่าพละปัญญา
เป็นพลังแห่งปัญญาที่เกิดขึ้น
นี้คือพลังแห่งความรู้ที่แตกแยกออก ปลงตกได้
หากตีไม่แตกและแยกไม่ออก หรือปลงไม่ตกทุกข์ก็จะเกิดขึ้น
ก็จะเป็นความหลง คือหลงสภาวะหรือหลงสภาพธรรมว่า
ตัวเรานี้กำหนดชัดเจนรู้ทุกอย่างถ้วนทั่วหมดแล้ว
ดั่งตัวอย่างพระกปิละ
เรื่อง ปลาสีทองกปิละ
“ผลของการกล่าวธรรมผิดเพี้ยน”
พระกปิละได้ศึกษาพระไตรปิฎกครบจบทั้ง ๓ หมวด คือ
พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธัมมปิฎก เรียนจบทุกหมวด
รู้ทุกสูตร ทุกบาทพระคาถา ทุกคำพจน์ที่กล่าวของพระพุทธเจ้า
แต่พระกปิละไม่ได้รู้สภาวธรรมที่เที่ยงแท้ตามความเป็นจริงของรูปธรรม นามธรรม
แต่รู้ด้วยการตรึกตรองคิดเอาเอง รู้ตามบททฤษฎีปริยัติ
แต่ไม่รู้สภาวธรรมทางการปฏิบัติที่แท้จริง
แต่ขณะเดียวมีพี่ชายที่มีอายุมากได้บวชพร้อมกัน
ก็มุ่งเน้นแห่งการประพฤติปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน คือ
รู้กายในกาย รู้เวทนาในเวทนา รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม
พิจารณาธรรมอยู่ ๔ อย่าง จึงเกิดรู้แจ้งแทงตลอดเห็นจริง จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่มีป้ายปริญญาบอกว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้ว
ในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นผู้ยกย่องว่าคนนั้นเป็นเอตทัคคะ
หรือมีความเป็นเลิศทางด้านนั้นหรือทางด้านนี้เท่านั้น
โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีปริญญาบัตรบอกเหมือนผู้บรรลุทางวิชาการ
เรื่องราวของพระกปิละปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ในเรื่องปลาสีทอง กล่าวคือ
ในสมัยที่ศาสนาพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ได้มีกุลบุตรสองพี่น้องออกบวชในสำนักพระสาวกทั้งหลาย
คนพี่ชื่อว่า โสธนะ คนน้องชื่อว่า กปิละ เมื่อบวชแล้วคนน้องได้ชื่อว่า พระกปิลเถระ
ท่านเป็นผู้มีพหูสูตในเรื่องพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี คือรู้สภาวธรรมตามหลักพระไตรปิฎกที่จารึกเขียนไว้
มีบริวารและลาภสักการะมากมาย เพราะท่านเป็นพระที่พูดเก่ง สอนเก่ง
เมื่อบุคคลที่เป็นพระปฏิบัติมาติเตียนหรือมาตักเตือนในสิ่งที่พระกปิลเถระ ได้สั่งสอนลูกศิษย์อยู่
พระกปิลเถระ กลับตอบว่า “พวกคุณทั้งหลายไม่รู้เท่าฉัน อย่ามาแนะนำฉันเลย”
พระกปิละถือตนว่าเป็นผู้ฉลาดกว่าผู้อื่น
เมื่อพระภิกษุไม่เชื่อคำตนก็จะด่าด้วยวาจาหยาบคาบ จากพฤติกรรมดังกล่าว
พระกปิลเถระ จึงเป็นผู้ที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา โดยไม่มีใครที่จะกล้าตักเตือน ไม่มีใครที่จะกล้าบอก เพราะพระกปิลเถระ เป็นผู้เก่งด้านปริยัติ
ซึ่งในครั้งนั้นพี่ชายคือพระโสธนะ ที่ได้บวชพร้อมกันก็ขอเรียนการปฏิบัติวิปัสสนาธุระ
ท่านชอบปฏิบัติอุดมสุข คือมีความสุขอยู่ในป่าไม้สะแกนั้น ไม่ได้สนใจโลกภายนอกใดๆ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
ด้วยความหลงโมหะของพระกปิลเถระ ที่คิดว่าตัวเองสำเร็จเป็นคัมภีร์เคลื่อนที่และด่าบริภาษพวกพระภิกษุผู้มีศีล
เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีจนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ด้วยเศษวิบากกรรมดังกล่าวจึงได้ไปเกิดเป็นปลาสีทองในแม่น้ำอจิรวดี
เหตุที่ไปเกิดเป็นปลาสีทองเพราะรักษาศีลดีแต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ การรักษาศีลคือไม่ประพฤติผิด
ยกตัวอย่างบางคนบอกว่าฉันอยู่เฉยๆ ไม่ผิดศีล ไม่คิดอิจฉาริษยาทำลายใคร ฉันก็รักษาศีลอยู่แล้ว
แต่ ศีลกรรมบถ ๑๐ นั้น วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓
กายกรรม ๓ คือ ไม่ลักของเขา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ประพฤติผิดลูกเมียเขา
วจีกรรม ๔ คือ ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เหล่านี้
ตลอดทั้งมโนกรรม ๓ ไม่คิดร้าย ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท
สิ่งเหล่านั้นได้เกิดขึ้นหรือไม่ จึงต้องเอามาพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตามพระกปิลเถระ ผู้ไม่ได้สภาวธรรมตามความเป็นจริง
ด้วยเศษกรรมนั้น จึงเกิดเป็นปลาสีทอง
ขณะนั้นชาวประมงลากอวนได้ปลาสีทอง ชาวประมงก็คิดในใจว่า “เราจะเอาไปขายก็ใช่ที่ จะเอาปลามากินก็กระไรอยู่” จึงนำไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อหวังจะได้รับพระราชทานรางวัลบ้าง
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองผิดปกติไปจากปลาทั่วไป จึงนำไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร ขณะที่ทุกคนไปดูปลาสีทองๆก็อ้าปากหายใจส่งกลิ่นเหม็นหึ่งทั่วพระเชตวันมหาวิหาร
เมื่อปลาสีทองหุบปากก็จะไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น ทำให้พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจยิ่งนัก จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมปลาจึงมีสีทองคำและทำไมปลาจึงมีกลิ่นปากเหม็นเช่นนี้”
พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพพกรรมของปลากปิละ และตรัสว่า “การที่ปลาสีทองอ้าปากทีไรได้กลิ่นเหม็นเน่าทุกที สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปลาสีทองกล่าวธรรมผิดเพี้ยน การกล่าวธรรมที่ผิดเพี้ยนนั้นเป็นการประทุษร้ายธรรมและพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า”
จากผลของกรรมนั้นเป็นกรรมหนักทำให้ปลาสีทอง ปากเน่า ปากเหม็น
คนที่เป็นมะเร็งที่ปากอาจจะมาอยู่ในกรรมตัวนี้ก็ได้ เพราะเคยโกหกมดเท็จหรือเคยหลอกลวงผู้อื่น จึงทำให้ปากเน่าปากเหม็น ฉะนั้น ต้องระวังวจีกรรมให้ดี
ทางฝ่ายพี่ชายคือพระโสธนะนั้น ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เข้าสู่แดนพระนิพพาน
นี่คือการรู้สภาวธรรม รู้สภาวทุกข์ตามความเป็นจริง กับการรู้หลักปริยัติโดยฝ่ายเดียว
ไม่มีความเห็น