สิ่งที่ชาวไร่ชาวนาควรได้เรียนรู้จากม็อบเสื้อเหลืองและเสื้อแดง 6 : วิธีมองและจัดการการชุมนุมเสื้อแดงอย่างผู้ใหญ่


 

 

สิ่งที่ชาวไร่ชาวนาควรได้เรียนรู้
จากม็อบเสื้อเหลืองและเสื้อแดง 6 :

                     วิธีมองและจัดการการชุมนุมเสื้อแดงอย่างผู้ใหญ่

                              


                                  *******************
    

      หลังวันที่ 10 เมษายน เราจะเห็นพฤติกรรมของรัฐบาลและแกนนำการชุมนุมคนเสื้อแดงเด่นชัดอยู่อย่างหนึ่งคือ ต่างฝ่ายต่างแข่งกันเสนอ Clip VDO
ภาพความรุนแรงในวันนั้น  โดยแต่ละฝ่ายพยายามชี้ให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ก่อความรุนแรง จนสร้างความเสียหาย บาดเจ็บ ล้มตาย ดังที่ปรากฏ

 

     ผู้เขียนเห็นพฤติกรรมดังกล่าวแล้วอดนึกถึง ภาพเด็ก  2  คน ที่เกิดทะเลาะวิวาทกัน  กำลังยืนแก้ตัวอยู่ต่อหน้าครู โดยต่างแย่งกันบอกกับครูว่า "มันต่อยผมก่อนครับ"



     ในประเทศหนึ่ง ๆ ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น คือ รัฐบาล

 

      ดังนั้น คนเป็นรัฐบาลจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะลดตัวไปเป็นเด็กเท่าคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน

 

 

      ในกรณีเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน  สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือ การรายงานให้ประชาชนทราบว่า รัฐบาลได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบความจริงอย่างไร ถึงไหน และเมื่อผลปรากฏชัดเจนอย่างไร แล้วค่อยรายงานให้ประชาชนทราบตามลำดับ  หากความจริงเป็นอย่างไร  ก็คงต้องว่าไปตามความเป็นจริง อะไรที่รัฐบาลควรรับผิดชอบก็ต้องยืดอกขึ้นรับผิดชอบอย่างสุภาพบุรุษ

 

      เมื่อคืนนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสชม โทรทัศน์ช่อง TPBS เสนอรายการการสนทนากับสุภาพสตรีตัวเล็ก ๆ 3 ท่าน ที่มีหัวใจของความเป็นผู้ใหญ่ ทั้งสามท่านได้เล่าถึงการเข้าไปรับฟังความทุกข์ของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 10 


      ลองรับฟังหน่อยไหมครับว่าเขามีความคิดอย่างไร

 

 

                                  

 


      ทั้งสามท่านนั้นได้สะท้อนให้เห็นหัวใจของเขาที่น่าสนใจหลายอย่าง อย่างหนึ่ง คือ การมีจิตใจเมตตาที่จะรับฟังสารทุกข์ของคนเล็กคนน้อย

 

     

                            

 


         เมื่อผู้เขียนฟังแล้วทำให้นึกถึง เนื้อหาของการเจรจาทั้ง  2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่เห็นใครพูดถึงทุกข์ของชาวบ้านเลย  มีแต่พูดถึงประชาธิปไตย  พูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ  พูดถึงว่าจะยุบไม่ยุบสภา ฯลฯ เป็นต้น ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้   ถ้าได้ทำแล้วมันจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชนหรือประเทศชาติ ฉะนั้น

 

         ข้อเท็จจริงจากคำบอกเล่าของสุภาพสตรีท่านนี้  ยังสอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการ ที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันว่า

 

    " ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนกลุ่มนี้ ที่ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกกดขี่หรือใช้ความไม่เป็นธรรมจากระบบอำมาตย์ ก็คือ ข้าราชการ หรือนักการเมือง ซึ่งเดือดร้อนจริงๆ แต่ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยง เพื่อเรียกร้องประโยชน์ให้คนเพียงคนเดียว ด้วยการอาศัยความเดือนร้อนของประชาชนมาบังหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

 

      และ ยังกล่าวอีกว่า  สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ก็คือเรื่องของการกดขี่ข่มเหงประชาชนของระบบราชการ หากแก้ปัญหาไม่ได้ เรื่องการชุมนุมโดยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองเหล่านี้ ก็จะไม่หมดสิ้น รวมทั้งการใช้ระบบประชานิยมทำให้ประชาชนเคยตัว ชอบความสบาย เมื่อรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี แจกเงินคนก็ชอบ ไม่มีใครหรอกที่ไม่ชอบ แม้แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็ยังทำ

 

       "รัฐบาลต้องเลิกสร้างนิสัยประชานิยมเหล่านี้ให้ประชาชน ต้องสร้างให้เขามีอาชีพที่สุจริต และอยู่อย่างพอเพียง อีกทั้งต้องยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักความรู้รักสามัคคี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาให้ประชาชนเรียนรู้อย่างจริงจัง เมื่อเขาท้องอิ่ม รัฐไม่ข่มเหง มีความรู้เรื่องการใช้ชีวิตพอเพียง ชุมชนสามัคคี ก็จะไม่มีใครใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองได้อีกในอนาคต" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

        จริง ๆแล้ว  ในสังคมของเราในช่วงนี้ก็มีคนหลายกลุ่ม ได้เสนอทางออกไว้ในลักษณะที่ว่า  ให้มองข้ามพ้นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการยุบสภา แต่ให้มองที่ทุกข์ของสังคม อันได้แก่ ความไม่เป็นธรรม  โดยให้ระดมทุกภาคส่วนมาช่วยกันหาแนวทางว่าจะสามารถข้ามพ้นความไม่เป็นธรรมนั้นได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น

 

                        


         จริง ๆแล้ว การชุมนุมของคนเสื้อแดงสามารถสร้างแรงกดดันแก่รัฐบาลได้ก็เพราะคนที่เข้าร่วมชุมนุมมีจำนวนมาก  คนจำนวนมากทำให้การจราจรเป็นอัมพาตได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ต้องแสดงฤทธิ์เดชอะไร 
          ฟังจากคำบอกเล่าของผู้ที่ไปรับฟังเสียงของคนเล็กคนน้อยที่มาร่วมชุมนุม  เราก็จะแน่ใจได้ว่าผู้เข้าร่วมชุมนุม กับแกนนำในการชุมนุม มีผลประโยชน์  มีวัตถุประสงค์ และ มีอุดมการณ์ในการเข้ามาชุมนุมต่างกัน

         ไม่เชื่อลองฟังดูซี
        

                          

 

         การมีผลประโยชน์  มีวัตถุประสงค์ และ มีอุดมการณ์ ต่างกันแสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพระหว่างแกนนำ กับผู้ร่วมชุมนุมที่เปราะบาง


         ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่รั้งให้ผู้ร่วมชุมนุมอยู่ในการชุมนุมอาจเป็นค่าตอบแทนที่เป็นเงิน บวกกับความหวังลม ๆแล้ง ๆที่พวกแกนนำวาดฝันให้กับเขา  สำทับด้วยการพูดโฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังรัฐบาลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

         แท้จริงแล้วเขาอยากนอนมากว่า  เขาอยากปลอดภัยมากกว่า เขาอยากพ้นทุกที่เบียดเบียนบีฑาเขามากว่า เขาคงไม่ได้รักใครบางคนจนถึงขนาดที่จะสละชีวิตให้ได้หร็อก  ดังปรากฏว่า มีบรรดาคนเสื้อแดงบางจังหวัดเมื่อเห็นว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก็พากันกลับบ้านทั้งจังหวัด

 



         ในกรณีเช่นนี้ หากรัฐบาลมีแก่ใจหันไปรับฟังทุกข์ของเขา  มีข้อเสนอร่วมกันกับเขาและฝ่ายอื่น ๆว่าปัญหาของเขาจะสามารถกำจัดปัดเป่าไปได้อย่างไร  คาดว่าจำนวนผู้ชุมนุมน่าจะลดลง

 

          หากเป็นอย่างที่ว่านี้ แกนนำการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะมีน้ำยาอะไร



          แต่รัฐบาลมีหัวใจเป็นเด็ก ๆพอ ๆกับพวกแกนนำ มีพฤติกรรมตอแยกันไปตอแยกันมา  อันเป็นการยั่วโทสะให้ทวีมากยิ่งขึ้น พอตกเป็นทาสโทสะ ขาดสติก็ลุกขึ้มาใช้กำลังกันที่หนึ่ง แล้วก็แหย่กันไปแหย่กันมาต่อไปอีก 

 


          ถ้าเป็นเช่นนี้การวิวาทนี้เห็นทีจะหาทางจบอย่างสันติได้ยาก

 

          สุภาพสตรีในวงสนทนาที่ร่วมสนทนาในรายการโทรทัศน์ TPBS ท่านนี้ได้กล่าวไว้อย่างน่าชื่นชมอีกครั้งว่า

           

                     




             นี่คือหัวใจของคนที่เป็นผู้ใหญ่ ที่รัฐบาลต้องหันมากอบกู้ตนเองให้เติบโตไม่เช่นนั้น  หายนะแน่ ๆประเทศนี้

 

ที่มา:         http://www.matichon.co.th/news_detail.php? newsid=1268982212&grpid=03&catid

paaoobtong
16/04/53
14:01

หมายเลขบันทึก: 351906เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2010 12:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 12:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เท่าที่อ่านเป็นมุมมองหนึ่งที่มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดในทิศทางเดียวกันที่สังคมกำลังมองดูอยู่

 

จะต่างกันก็ข้อความนี้

 " ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนกลุ่มนี้ ที่ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกกดขี่หรือใช้ความไม่เป็นธรรมจากระบบอำมาตย์ ก็คือ ข้าราชการ หรือนักการเมือง ซึ่งเดือดร้อนจริงๆ แต่ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยง เพื่อเรียกร้องประโยชน์ให้คนเพียงคนเดียว ด้วยการอาศัยความเดือนร้อนของประชาชนมาบังหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

 

ส่วนใหญ่แล้วเสื้อแดงที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดจากการชักจูงของหัวคะแนนและ ส.ส. ของพรรค โดยมีผลตอบแทนให้รายหัวละ 2000 บาทต่อ 1 รอบ (2-3 วัน)

การชุมนุมครั้งนี้ถ้าไม่มีเงินอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำการชุมนุมได้เพราะทุกอย่างเอาเงินเป็นตั้วตั้ง

 

การที่รัฐบาลลดตัวไปเจรจากับแกนนำเป็นเพียงลดการกดดันช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

จากข้อเขียนของผู้เขียนที่กล่าวว่า

 

   เมื่อผู้เขียนฟังแล้วทำให้นึกถึง เนื้อหาของการเจรจาทั้ง  2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่เห็นใครพูดถึงทุกข์ของชาวบ้านเลย  มีแต่พูดถึงประชาธิปไตย  พูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ  พูดถึงว่าจะยุบไม่ยุบสภา ฯลฯ เป็นต้น ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้   ถ้าได้ทำแล้วมันจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชนหรือประเทศชาติ ฉะนั้น

 

ขอทำความเข้าใจว่า การที่แกนนำเสื้อแดงพาคนมาชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างรัฐบาล และเป้าหมายต่อไปคือเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มล้างสถาบันตามที่อดีตนายกที่หนีคุกต้องการ

 

คนที่มาชุมนุมอย่างยืดเยื้อเพราะเขามีเงินให้ มีอาหารเลี้ยง ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ

 

คุณลองนึกดูว่าทั่วประเทศชมการถ่ายทอดการเจรจาเพื่อยุติศึกระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับท่านนายก แล้วทั้งสองฝ่ายพูดถึงคนจนว่าชาวนาชาวไร่ถูดกดขี่ ต่อไปนี้จะเลิกกดขี่ ขอให้สลายการชุมนุมไป จะเป็นเรื่องขำตาย ปัญหาเกิดจากเรื่องหนึ่งแต่กลับไปพูดอีกเรื่องหนึ่งในสถานะการณ์ที่คับขัน

 

การพูดเรื่องชาวนาถูกกดขี่เป็นวาทกรรมของพรรคคอมมูนิสต์เขา

และเป็นเรื่องที่ถูกกดขี่ระหว่างชาวนากับนายทุน มิใช่ชาวนากับรัฐบาลคะ

 

 

เท่าที่อ่านเป็นมุมมองหนึ่งที่มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดในทิศทางเดียวกันที่สังคมกำลังมองดูอยู่

 

จะต่างกันก็ข้อความนี้

 " ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนกลุ่มนี้ ที่ส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกกดขี่หรือใช้ความไม่เป็นธรรมจากระบบอำมาตย์ ก็คือ ข้าราชการ หรือนักการเมือง ซึ่งเดือดร้อนจริงๆ แต่ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำมาเชื่อมโยง เพื่อเรียกร้องประโยชน์ให้คนเพียงคนเดียว ด้วยการอาศัยความเดือนร้อนของประชาชนมาบังหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" ศ.พิเศษ ศรีศักร กล่าว

 

ส่วนใหญ่แล้วเสื้อแดงที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดจากการชักจูงของหัวคะแนนและ ส.ส. ของพรรค โดยมีผลตอบแทนให้รายหัวละ 2000 บาทต่อ 1 รอบ (2-3 วัน)

การชุมนุมครั้งนี้ถ้าไม่มีเงินอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำการชุมนุมได้เพราะทุกอย่างเอาเงินเป็นตั้วตั้ง

 

การที่รัฐบาลลดตัวไปเจรจากับแกนนำเป็นเพียงลดการกดดันช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

จากข้อเขียนของผู้เขียนที่กล่าวว่า

 

   เมื่อผู้เขียนฟังแล้วทำให้นึกถึง เนื้อหาของการเจรจาทั้ง  2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่เห็นใครพูดถึงทุกข์ของชาวบ้านเลย  มีแต่พูดถึงประชาธิปไตย  พูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ  พูดถึงว่าจะยุบไม่ยุบสภา ฯลฯ เป็นต้น ประหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้   ถ้าได้ทำแล้วมันจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชนหรือประเทศชาติ ฉะนั้น

 

ขอทำความเข้าใจว่า การที่แกนนำเสื้อแดงพาคนมาชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างรัฐบาล และเป้าหมายต่อไปคือเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มล้างสถาบันตามที่อดีตนายกที่หนีคุกต้องการ

 

คนที่มาชุมนุมอย่างยืดเยื้อเพราะเขามีเงินให้ มีอาหารเลี้ยง ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ

 

คุณลองนึกดูว่าทั่วประเทศชมการถ่ายทอดการเจรจาเพื่อยุติศึกระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับท่านนายก แล้วทั้งสองฝ่ายพูดถึงคนจนว่าชาวนาชาวไร่ถูดกดขี่ ต่อไปนี้จะเลิกกดขี่ ขอให้สลายการชุมนุมไป จะเป็นเรื่องขำตาย ปัญหาเกิดจากเรื่องหนึ่งแต่กลับไปพูดอีกเรื่องหนึ่งในสถานะการณ์ที่คับขัน

 

การพูดเรื่องชาวนาถูกกดขี่เป็นวาทกรรมของพรรคคอมมูนิสต์เขา

และเป็นเรื่องที่ถูกกดขี่ระหว่างชาวนากับนายทุน มิใช่ชาวนากับรัฐบาลคะ

 

 

สวัสดีครับคุณรพี ป้อมเพชร

  • ขอบคุณครับที่แวะเข้ามาให้ความคิดเห็น
  • เราควรรับฟังและแลกเปลี่ยนกันให้มาก ๆอย่างเปิดใจ
  • อย่ายึดมั่นถือมั่นกับข้อสรุปที่เรามีอยู่  เราควรเปิดรับการรับรู้ของเราให้มากและปรับข้อสรุปของเราเสมอ ให้ความจริงที่เรามี ตรงกับความจริงที่เป็นจริง ถ้าคนเรารู้จริงไม่ลำเอียง ความขัดแย้งทุกเรื่องน่าจะหาทางออกร่วมกันได้ง่าย
  • สุภาพสตรีที่ผมเอาข้อมูลจากเขามาประกอบในบันทึกนี้ ก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจครับ ลองฟังดูซี

    โปรดกดที่นี่เพื่อชมคลิป
  • ขอบคุณครับ
  • สวัสดีครับ

paaoobtong
17/04/53
14:47

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท