ธรรมหรรษา
รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

"อย่า-หยุด-ยิ้ม" คาถาดับไฟความรุนแรง


     เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ผู้เีขียนได้เดินทางไปบรรยาย เรื่อง "สันติวิธีวิถีชีวิตในมุมมองของศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม" ในหลักสูตร "หลักสูตร 4 ส." ของสถาบันพระปกเกล้า  ในครั้งนี้ ท่านผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล พล.อ. เอกชัย (ลุงเอก) ได้ร่วมรับฟังด้วยและเป็นที่น่ายินดีว่า ได้มี "ศิษย์" ท่านหนึ่งสรุปแนวทางการบรรยายไปไว้ใน "โต๊ะข่าวภาคใต้" สถาบันอิสรา จึงได้นำมาฝากกัลยาณมิตรชาวโกทูโน ตามเนื้อหาด้านล่าง

 

Sunday, 11 April 2010 06:33

โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
           ในที่สุดสังคมไทยก็หลีกไม่พ้นเหตุการณ์ "นองเลือด" จากความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติเรา หนำซ้ำสถานการณ์ยังส่อเค้าบานปลายกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังที่ยากจะนำความสงบ สุข สมานฉันท์กลับคืนมาได้ดังเดิม
          "สยามเมืองยิ้ม" ที่ทั่วโลกเคยยกย่อง นับจากวันนี้อาจกลายเป็นเพียงอดีต...
          วิกฤตการณ์การเมืองเที่ยวนี้ปะทุแทรกขึ้นมาท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งและความ รุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สังคมไทยยังอยู่ในสภาพหลงทางอยู่ในเขา วงกต กระบวนการคลี่คลายปัญหายังคล้ายพายเรืออยู่ในอ่าง ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก มานานเกือบ 7 ปีแล้ว
          ประวัติศาสตร์บาดแผลเที่ยวนี้จึงยิ่งทำให้ทุกปัญหาในประเทศไทย รวมทั้งปัญหาภาคใต้แก้ยากมากขึ้นไปอีกเป็นทับทวี
          ถึงนาทีนี้คงไม่มีอะไรดีกว่าการดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว และพิจารณาปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา หยุดใช้ "อวิชชา" และ "อคติ" แล้วจึง "ตั้งสติ" ให้สมกับการเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
          เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสฟังคำบรรยายอันมีค่าจาก พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส แห่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในห้องเรียนหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หลักสูตร 4 ส." ของสถาบันพระปกเกล้า
          สารัตถะที่ได้รับจาก พระมหาหรรษา คือคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่จะดับไฟความขัดแย้งและความรุนแรงในบ้านเมืองของ เรา ซึ่งผมขอนำมาถ่ายทอดให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้
          พระมหาหรรษา เริ่มต้นตรงที่ว่า แนวคิด "สันติวิธี" มีฐานมาจากศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม แต่ต้องยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองปัจจุบัน ทั้งปัญหาการเมืองและปัญหาภาคใต้ ทำให้ศาสนจักรและสันติวิธีถูกท้าทายอย่างหนัก เพราะทำให้เกิดคำถามว่าสันติวิธีใช้ได้ผลจริงหรือ แล้วสถานการณ์ร้ายๆ เหล่านี้จะจบลงเมื่อใด
          พระคุณเจ้าตั้งข้อสังเกตว่า เวลาคนในสังคมพูดถึงอะไรกันมากๆ แสดงว่าสังคมกำลังขาดสิ่งนั้น ฉะนั้นการที่สังคมไทยพูดถึงสันติวิธีกันอย่างกว้างขวางมากมาย แสดงให้เห็นว่ากำลังเกิดแนวทางที่ไม่ได้ใช้สันติวิธีขึ้นในสังคมไทย
          สันติวิธีที่แท้จริงของศาสนาพุทธคือการกลับมาดูตัวเอง พิจารณาลมหายใจของตัวเองให้ได้ก่อน ดังประโยคทองที่ว่า “ความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"
          พระมหาหรรษา มองว่า ขณะนี้สังคมไทยเป็นสังคม “ตาบอดคลำช้าง” เป็นสังคมแห่งความไม่รู้ แต่ละคนมีประสบการณ์ต่างกัน จึงมีจุดยืนแตกต่างกันจากประสบการณ์ของตนเอง ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงกันไม่รู้จบ 
          ความไม่รู้ของสังคมไทยมีหลากหลายอย่าง ซึ่ง พระมหาหรรษา ได้ยกตัวอย่างมาแบบตรงเผงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ได้แก่ ไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก, ไม่รู้อะไรดีอะไรไม่ดี, ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร, ไม่รู้อะไรสูงอะไรต่ำ, ไม่รู้อะไรจริงอะไรเท็จ และไม่รู้ไม่ชี้ 
          ทางออกของปัญหาที่กำลังเกิดและดำรงอยู่ในสังคมไทย ต้องใช้หลัก "3 ย." คือ อย่า หยุด และ ยิ้ม
          "อย่า" หมายถึง อย่าเห็นแก่ตัว อย่ากลัวเสียหน้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขันติ" เพราะมนุษย์เราจำเป็นต้องรักคนอื่น เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจอยู่คนเดียวในโลกได้ ฉะนั้นต้องรักคนอื่น และต้องช่วยกันสร้างสังคมสมานุภาพ 
          "หยุด" หมายถึง มีสติรู้คิด และกลับมาที่ลมหายใจของตัวเอง เหมือนดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับองคุลีมาลที่วิ่งไล่ล่า พระองค์เพื่อตัดนิ้วให้ได้ครบ 1,000 นิ้วว่า "เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด" 
          การหยุดมีหลายเรื่อง ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ หยุดคิดทำร้าย หยุดป้ายสี หยุดพาทีให้เกลียดชัง หยุดยั้งเติมเชื้อไฟ และหยุดสร้างเงื่อนไขความรุนแรง 
          ส่วน “ยิ้ม” หมายถึงสันติ หรือสันติภาพ 
          ฉะนั้นท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ ทุกฝ่ายที่อยู่ในวังวนความขัดแย้งต้องยึดหลัก “อย่า-หยุด-ยิ้ม” หรือ “ขันติ-สติ-สันติ” แล้วกลับมาที่ลมหายใจของตัวเอง...
          มิฉะนั้นจะไม่มีวันได้เห็นทางออก!
 
http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=286%3Aq--q-&catid=18%3A2009-11-15-11-19-53&Itemid=1
------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ :
ภาพ 1 จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพ 2 จากบล็อค gotoknow.org
หมายเลขบันทึก: 352918เขียนเมื่อ 21 เมษายน 2010 00:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 06:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • นมัสการพระคุณเจ้า
  • มาเรียนรู้ธรรมะในวันพระค่ะ  จะนำไปปฏิบัตินะคะ 
  • “อย่า-หยุด-ยิ้ม” หรือ “ขันติ-สติ-สันติ” แล้วกลับมาที่ลมหายใจของตัวเอง...

สาธุครับ

แวะมาอ่าน มารับข้อธรรมดีๆ นะครับ

อยากเห็นบ้านเมืองสงบและทุกคนอยู่รวมกันอย่างสันติวิธี ลงต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน

ขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ให้ข้อคิดดีๆครับ

อ.ลูกหว้า และโยมณัฐ

อนุโมทนาขอบใจมากที่แวะมาเยี่ยมชม อาตมาและทุกท่านก็หวังเช่นกัน และหวังจะเห็นความสงบกลับคืนมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง

เจริญพร

เคยได้อ่านบทความนี้แล้ว...ชอบมากครับ

มีความคิดอยากเรียนต่อทางด้านสันติวิธีและความขัดแย้งมากครับ

ชื่นชมในวิถีคิดและงานเขียนของอาจารย์มากครับ

นมัสการครับ

"หยุด" คือคำที่คนไทยที่เกี่ยวข้องต้องนำมาใช้ครับ

ขอบคุณสำหรับการเตือนสติครับ ขอร่วม "หยุด" ด้วยครับ

จากบันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/poldejw/352695

ช่วงนี้ ผมกำลังศึกษากูรูอินเดียหลายท่าน หนึ่งในนั้นมี Osho ด้วย

มีความน่าสนใจอยู่ครับ

จะบอกว่าทุกอย่างมีทั้งสิ่งดีและไม่ดี หากดูเฉพาะด้านดี ก็จะได้ประโยชน์จากการดูนั้นครับ

สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มทางจิตวิญญาน เนื่องจากปัจจุบันมีการตั้งกลุ่มสีต่างๆ มากมาย หลายทิศทาง

ปรารถนาที่จะให้มีการตั้งกลุ่มแผ่เมตตาให้บ้านเมืองด้วยครับ กลุ่มนี้ ไม่ต้องไปออกเดินบนท้องถนนที่ไหน ขอเพียงร่วมกันปฏิบัติจิต ส่งไปรวมกันที่ประเทศไทย ที่พ่อหลวง

ขอให้พลังนั้นส่งผลให้ผู้คนมีสติ มีเมตตาธรรม ปรองดองกัน

ทำแล้วก็แล้วกัน ถือว่าได้ทำแล้ว ไม่ต้องไปยึดติดว่าคนจะต้องทำตาม แต่ประเทศชาติจะได้ครับ

ผมคนหนึ่งที่จะทำและได้ทำแล้ว หากหลายจิตหลายดวงช่วยกัน น่าจะเป็นพลังหนึ่งที่ช่วยบ้านเมืองได้ครับ ในรูปแบบเงียบๆ

นมัสการครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท