Sunday, 11 April 2010 06:33 |
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศราในที่สุดสังคมไทยก็หลีกไม่พ้นเหตุการณ์ "นองเลือด" จากความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติเรา หนำซ้ำสถานการณ์ยังส่อเค้าบานปลายกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังที่ยากจะนำความสงบ สุข สมานฉันท์กลับคืนมาได้ดังเดิม"สยามเมืองยิ้ม" ที่ทั่วโลกเคยยกย่อง นับจากวันนี้อาจกลายเป็นเพียงอดีต...วิกฤตการณ์การเมืองเที่ยวนี้ปะทุแทรกขึ้นมาท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งและความ รุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สังคมไทยยังอยู่ในสภาพหลงทางอยู่ในเขา วงกต กระบวนการคลี่คลายปัญหายังคล้ายพายเรืออยู่ในอ่าง ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก มานานเกือบ 7 ปีแล้วประวัติศาสตร์บาดแผลเที่ยวนี้จึงยิ่งทำให้ทุกปัญหาในประเทศไทย รวมทั้งปัญหาภาคใต้แก้ยากมากขึ้นไปอีกเป็นทับทวีถึงนาทีนี้คงไม่มีอะไรดีกว่าการดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว และพิจารณาปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา หยุดใช้ "อวิชชา" และ "อคติ" แล้วจึง "ตั้งสติ" ให้สมกับการเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสฟังคำบรรยายอันมีค่าจาก พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส แห่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในห้องเรียนหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หลักสูตร 4 ส." ของสถาบันพระปกเกล้าสารัตถะที่ได้รับจาก พระมหาหรรษา คือคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่จะดับไฟความขัดแย้งและความรุนแรงในบ้านเมืองของ เรา ซึ่งผมขอนำมาถ่ายทอดให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้พระมหาหรรษา เริ่มต้นตรงที่ว่า แนวคิด "สันติวิธี" มีฐานมาจากศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม แต่ต้องยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองปัจจุบัน ทั้งปัญหาการเมืองและปัญหาภาคใต้ ทำให้ศาสนจักรและสันติวิธีถูกท้าทายอย่างหนัก เพราะทำให้เกิดคำถามว่าสันติวิธีใช้ได้ผลจริงหรือ แล้วสถานการณ์ร้ายๆ เหล่านี้จะจบลงเมื่อใดพระคุณเจ้าตั้งข้อสังเกตว่า เวลาคนในสังคมพูดถึงอะไรกันมากๆ แสดงว่าสังคมกำลังขาดสิ่งนั้น ฉะนั้นการที่สังคมไทยพูดถึงสันติวิธีกันอย่างกว้างขวางมากมาย แสดงให้เห็นว่ากำลังเกิดแนวทางที่ไม่ได้ใช้สันติวิธีขึ้นในสังคมไทยสันติวิธีที่แท้จริงของศาสนาพุทธคือการกลับมาดูตัวเอง พิจารณาลมหายใจของตัวเองให้ได้ก่อน ดังประโยคทองที่ว่า “ความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"พระมหาหรรษา มองว่า ขณะนี้สังคมไทยเป็นสังคม “ตาบอดคลำช้าง” เป็นสังคมแห่งความไม่รู้ แต่ละคนมีประสบการณ์ต่างกัน จึงมีจุดยืนแตกต่างกันจากประสบการณ์ของตนเอง ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงกันไม่รู้จบความไม่รู้ของสังคมไทยมีหลากหลายอย่าง ซึ่ง พระมหาหรรษา ได้ยกตัวอย่างมาแบบตรงเผงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ได้แก่ ไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก, ไม่รู้อะไรดีอะไรไม่ดี, ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร, ไม่รู้อะไรสูงอะไรต่ำ, ไม่รู้อะไรจริงอะไรเท็จ และไม่รู้ไม่ชี้ทางออกของปัญหาที่กำลังเกิดและดำรงอยู่ในสังคมไทย ต้องใช้หลัก "3 ย." คือ อย่า หยุด และ ยิ้ม"อย่า" หมายถึง อย่าเห็นแก่ตัว อย่ากลัวเสียหน้า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขันติ" เพราะมนุษย์เราจำเป็นต้องรักคนอื่น เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจอยู่คนเดียวในโลกได้ ฉะนั้นต้องรักคนอื่น และต้องช่วยกันสร้างสังคมสมานุภาพ"หยุด" หมายถึง มีสติรู้คิด และกลับมาที่ลมหายใจของตัวเอง เหมือนดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับองคุลีมาลที่วิ่งไล่ล่า พระองค์เพื่อตัดนิ้วให้ได้ครบ 1,000 นิ้วว่า "เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด"การหยุดมีหลายเรื่อง ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ หยุดคิดทำร้าย หยุดป้ายสี หยุดพาทีให้เกลียดชัง หยุดยั้งเติมเชื้อไฟ และหยุดสร้างเงื่อนไขความรุนแรงส่วน “ยิ้ม” หมายถึงสันติ หรือสันติภาพฉะนั้นท่ามกลางวิกฤติเช่นนี้ ทุกฝ่ายที่อยู่ในวังวนความขัดแย้งต้องยึดหลัก “อย่า-หยุด-ยิ้ม” หรือ “ขันติ-สติ-สันติ” แล้วกลับมาที่ลมหายใจของตัวเอง...มิฉะนั้นจะไม่มีวันได้เห็นทางออก!http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=286%3Aq--q-&catid=18%3A2009-11-15-11-19-53&Itemid=1------------------------------------------------------------------ขอบคุณ :ภาพ 1 จากหนังสือพิมพ์แนวหน้าภาพ 2 จากบล็อค gotoknow.org |
สาธุครับ
แวะมาอ่าน มารับข้อธรรมดีๆ นะครับ
อยากเห็นบ้านเมืองสงบและทุกคนอยู่รวมกันอย่างสันติวิธี ลงต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน
ขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ให้ข้อคิดดีๆครับ
อ.ลูกหว้า และโยมณัฐ
อนุโมทนาขอบใจมากที่แวะมาเยี่ยมชม อาตมาและทุกท่านก็หวังเช่นกัน และหวังจะเห็นความสงบกลับคืนมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง
เจริญพร
เคยได้อ่านบทความนี้แล้ว...ชอบมากครับ
มีความคิดอยากเรียนต่อทางด้านสันติวิธีและความขัดแย้งมากครับ
ชื่นชมในวิถีคิดและงานเขียนของอาจารย์มากครับ
นมัสการครับ
"หยุด" คือคำที่คนไทยที่เกี่ยวข้องต้องนำมาใช้ครับ
ขอบคุณสำหรับการเตือนสติครับ ขอร่วม "หยุด" ด้วยครับ
จากบันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/poldejw/352695
ช่วงนี้ ผมกำลังศึกษากูรูอินเดียหลายท่าน หนึ่งในนั้นมี Osho ด้วย
มีความน่าสนใจอยู่ครับ
จะบอกว่าทุกอย่างมีทั้งสิ่งดีและไม่ดี หากดูเฉพาะด้านดี ก็จะได้ประโยชน์จากการดูนั้นครับ
สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มทางจิตวิญญาน เนื่องจากปัจจุบันมีการตั้งกลุ่มสีต่างๆ มากมาย หลายทิศทาง
ปรารถนาที่จะให้มีการตั้งกลุ่มแผ่เมตตาให้บ้านเมืองด้วยครับ กลุ่มนี้ ไม่ต้องไปออกเดินบนท้องถนนที่ไหน ขอเพียงร่วมกันปฏิบัติจิต ส่งไปรวมกันที่ประเทศไทย ที่พ่อหลวง
ขอให้พลังนั้นส่งผลให้ผู้คนมีสติ มีเมตตาธรรม ปรองดองกัน
ทำแล้วก็แล้วกัน ถือว่าได้ทำแล้ว ไม่ต้องไปยึดติดว่าคนจะต้องทำตาม แต่ประเทศชาติจะได้ครับ
ผมคนหนึ่งที่จะทำและได้ทำแล้ว หากหลายจิตหลายดวงช่วยกัน น่าจะเป็นพลังหนึ่งที่ช่วยบ้านเมืองได้ครับ ในรูปแบบเงียบๆ
นมัสการครับ