AI...สอนให้มองข้ามปัญหา...ยั่งงี้ก็ประมาทสิ


Appreciative Inquiry

AI สอนให้มองข้ามปัญหา..ไม่ต้องสนใจมันเลยเหรอ..ยั่งงี้ก็ประมาทสิ

ครับนี่เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อย..ในทุกการอบรม ทุกชั้นเรียน เวลาเปิดโอกาสให้ถาม..

คำตอบคือ..ไม่ได้มองข้าม ไม่ได้ไม่สนใจ ไม่ได้ไม่ประมาทครับ..

ทำไมหรือ เพราะทำ AI ทำให้เรามองเห็นทั้่งปัญหา และทางออกในเวลาเดียวกัน..

ยกตัวอย่างนะครับ..

คุณครูคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของผม นอกจากเป็นครูแล้ว ยังช่วยน้องชายขายผ้าไหมอยู่ที่ชัยภูมิ..วันหนึ่ง.เธอบอกผมว่า "เธอขายของไม่เป็น..ทำธุรกิจไม่เป็น..ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี จบครูมา ทำการตลาดก็ไม่เป็น"

เอาล่ะครับ..ผมเลยลองกระตุ้นให้เขาคิดว่า.."คุณเคยขายผ้าไหมได้ไหม..ได้ค่ะ.." เข้าเค้าแล้ว.."ลองนึกสิวันที่คุณขายได้ ในเร็วๆนี้..คุณพูดอะไร คุณทำอะไรที่ไม่เหมือนกันวันปรกติที่ขายไม่ได้.."

 

เธอค่อยๆไล่ ในที่สุดก็พบครับ..ปรกติแล้วน้องจะเป็นนักออกแบบ..ชอบออกแบบเสื้อ แล้วก็จะให้น้องสาวใส่..เธอก็ใส่ไปโรงเรียน..ได้เรื่อง..ใส่ไปทีไรได้ Order ทุกทีครับ..

 

ผมเลยบอกเขาว่า นี่แหละ นี่ไง คุณขายของเป็น..ผมมีลูกศิษย์ของผมแถวสยามก็ทำแบบเดียวกัน..ร้านเสื้อผ้าที่ขอนแก่นก็ทำแบบเดียวกัน..ทำขนาดตอนนั้นขายเสื้อผ้า แต่เธอมี I-phone แล้วใช้  ลูกค้าเกิดเห็น ยังขอให้ช่วยหาให้ครับ..

 

เธอถึงบางอ้อ..นี่คือการขาย เธอพูดไม่เป็น แต่เธอใส่ให้คนอื่นเห็น..คนเห็นก็เกิดชอบ

ถ้าคุณดูตำราเรื่องจิตวิทยาการ Shopping  จากหนังสือ Why we buy 

จะบอกอย่างนี้เลยครับคือ วงจรการซื้อ คือ

มอง รู้สึก สัมผัส ซื้อ ครับ

ชัดเลยครับ ถ้าเธอใส่ชุดใหม่ไป เท่ากับเธอทำให้ให้วงจรการซื้อนี้เกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก ครับ

.....................................................................................

เพราะฉะนั้น..เราจึงขยายผลครับ..ใส่ชุดใหม่ไปที่อื่นๆบ้าง..ในที่สุด...ถึงกับได้ลูกค้าเป็นคุณนายผู้ว่า...

 

เป็นยังไงครับ..ทำ AI ไม่ได้ทำเพื่อหนีปัญหา..กรณีนี้เราเจอทั้งปัญหา..และทางออกในเวลาเดียวกันครับ...

แต่อย่าทำอย่างเดียวพอนะครับ..ทำ Discovery (ถาม หรือสังเกตว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือะไร) เยอะๆ คุณจะเห็นทางออกและปัญหาในเวลาเดียวกัน..

 

และัไม่ได้ทำให้คุณประมาทมากขึ้นหรอกครับ...

 

คุณล่ะคิดยังไง

 

คำสำคัญ (Tags): #appreciative coaching#appreciative inquiry
หมายเลขบันทึก: 375600เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2010 09:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ใช่ ๆ ค่ะ อาจาร์ย

ไม่ใช่ทำให้ประมาทชะหน่อยแต่ทำให้ชนะความประมาทต่างหาก

ทำให้สมองเปิดอีก

       ประมาณว่า  มองข้ามฉอ็ท  ใช่ไหมครับอาจารย์  

       มองข้ามฉอ็ท   ไม่ใช่มองข้ามปัญหานะครับ    แต่มองข้ามปัญหาไปยังจุดที่ต้องการพัฒนาเลย   เพียงแต่ว่า  ปัญหา เราก็คงมองอยู่    แต่อยู่ในเรื่องของการพัฒนานั่นแหละ

      ยกตัวอย่างครับ  ตอนนี้ ผมทำเรื่อง "วินัยเชิงบวก" ในโรงเรียนอยู่  โดยบวกว่าวินัยเชิงบวก เป็นเรื่องของการพัฒนาเด็ก   เรื่องจริงในโรงเรียนหนึ่ง  คือ   เด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษเพราะท่องศัพท์ไม่ได้   ไม่ชอบท่องศัพท์อังกฤษ  ให้ท่องก็ไม่ท่อง  คุณครูก็ใช้วินัยเชิงบวกในการพัฒนาเด็กคนนี้  โดยบอกว่าใครมาท่องศัพท์ 3  คนแรก  ให้ 10 คะแนน  3  คน ลำดับที่สอง  9 คะแนน   ......

      พอใช้วินัยเชิงบวกอย่างนี้  เด็กขี้เกียจที่มีปัญหาไม่ได้ศัพท์   ก็รีบท่องศัพท์และมาท่องกับครู เพื่อเอาคะแนน   นอกจากได้ศัพท์เก่า  คุณครูก็ให้ท่องศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ   ได้ทั้งแก้ปัญหา  และ  ได้ทั้งการพัฒนาเด็กขี้เกียจท่องศัพท์ไปคราวเดียวกันครับ

      เห็นไหมครับว่า คุณครูท่านนี้  มองข้ามปัญหา  มุ่งไปที่การพัฒนาเลย  โดยใช้วินัยเชิงบวก  การพัฒนาก็ได้   การแก้ปัญหาก็พบทางออกในคราวเดียวกัน

ตอบคุณ RC จริงๆเลยล่ะ ขอบใจที่แวะมานะ

ตอบท่านอาจารย์ Small Man ใช่เลยครับอาจารย์ มองข้มช๊อตไปเลย แต่ก็ยังเห็นครบทุกอย่าง ไม่ติดหล่มครับ เรื่อง วินัยเชิงบวกนี้น่าสนใจมากครับ กำลังศึกษาอยู่เช่นกันครับ จะเอาไปดูแลลูกสาวด้วยครัล

สวัสดีค่ะ อาจารย์ภิญโญ

ตามมาอ่านบันทึก ชอบใจมากๆ ค่ะ เวลามีปัญหาบางทีก็ลืม....มัวแต่มองอะไรเดิมๆ มาอ่านบล็อกอาจารย์ได้เปิดหูเปิดตา ได้มุมมองใหม่ๆ ที่ทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ เพราะศักยภาพมีอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เราจะมองเห็นหรือไม่ 

ขอบคุณค่ะ

ตอบคุณมะปรางเปรี้ยว ยินดีมากๆครับ ที่บทความของผมเป็นประโยชน์ คนทุกคนมีแง่มุม มีความเข้มแข็งซ่อนเร้นอยู่ครับ ผมเจอทุกคนจริงๆ ไม่เคยไม่เจอเลยครับ

 

 

 

ตอนนี้ผมทำงานภายใต้วาทกรรม หรือแนวคิดว่า "ปัญหาเก่าห้ามเกิด..ปัญหาใหม่ไม่ว่ากัน"

บางคนอาจมองว่า มองโลกในแง่ร้าย ทำงานแบบเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง  แต่จริงๆ มันไม่ถึงขั้นนั้นหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า ก่อนลงมือทำงานใหม่  ผมย้ำทีมงานให้เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา และต้องนำสิ่งที่ผ่านมามาเป็น "ทุน"  แห่งการงานให้จงได้..

แต่ทั้งปวงนั้น ผมก็ไม่ละเลยต่อความสำเร็จที่จะต่อยอดหรอกนะครับ เพียงแต่เริ่มจากวาทกรรมนั้นเท่านั้นเอง..

ขอบพระคุณครับ

ปัญหาเป็นทั้งอุปสรรคและโอกาส แล้วแต่เราจะเลือก

ตอบคุณแผ่นดิน >>> ขอบคุณมากครับ น่าสนใจมากๆ สำหรับแนวคิดเรื่องนี้ครับ อย่างน้อยเป็นการสื่อสารกับทีมที่ดีมากๆครับ

ตอบคุณ Jan >>>> ได้ทั้งสองมุมครับ

ขอบคุณอาจารย์ค่ะที่นำมุมมองดีๆมาฝาก

AI เป็นเรื่อง ที่เน้นให้เรามองหาแต่สิ่งดีๆที่มีในตัวคนอยู่แล้ว

เรียนท่านอาจารย์ภิญโญ

  • เป็นการขายที่มีแต่ได้นะคะ เพราะถึงไม่มีใครสั่งซื้อ เราก็ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ ซึ่งเราต้องใช้อยู่แล้ว
  • ตอนที่ดิฉันทำงานที่ห้องคลอด คนที่มาคลอดส่วนมากจะไม่เตรียมของใช้มาเพราะคนโบราณเค๊าถือ ร้านค้าก็ปิด ต้องใช้ผ้าโรงพยาบาลห่อเด็กจนถึงเช้า พอดีดิฉันมาที่ห้างแมคโคร เห็นของใช้เด็กถูกก็เลยซื้อกลับไปด้วย ไม่เคยค้าขายมาก่อนเลยค่ะแรกๆเพราะอยากช่วยชาวบ้านที่มากลางคืน ไม่ได้กำไรอะไรมาก แป๊บเดียวของหมดก็เลยออกเงินกันคนละ 100 บาท (อยู่กัน 9 คนค่ะ)ใครว่างก็ซื้อมา ทำกันเล่นๆ เผลอแป๊บเดียวผ่านไป 1 ปี นำเงินมาแบ่งกัน ได้คนละหลายพันบาททั้งๆที่เราขายแบบถูกสุดๆ ปีเดียวคืนทุนให้ทุกคนแล้วเหลือแต่กำไรที่นำมาลงทุนต่อค่ะ สิ้นปีก็มีตังค์เที่ยวปีใหม่แบบสบายๆเลยค่ะ ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ค่ะ

ขอบคุคุณมนัญญาครับ

ขอบคุณคุณยายครับ เรื่องของคุณยาย สามารถนำมาเขียนเป็น Case study ด้าน AI ได้เลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท