8 สิงหาคม 2553 ณ บ้านแม่อุ่นรัก
อ.ภูเขียว
ผมคิดถึงพี่ด๊อส (คุณชุติมา ชัยมณี) จังครับ
เป็นพี่สาวที่น่ารักอย่างยิ่ง
คนทำบุญด้วยกันชาติก่อน จึงมาได้เจอกันชาตินี้
รู้จักกันเมื่อไปประชุมกรุงเทพฯ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
แต่เหมือนรู้จักกันมาราวหนึ่งชาติ
พี่เก่งมากครับ ขอคาราวะด้วยใจจริงครับ
ตัวชี้วัดหายไปใหน ?
ชุติมา ชัยมณี
โรงพยาบาลสันป่าตอง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
"...หลักของการวางแผนงาน นอกจากมีการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานแล้ว ยังต้องมีการกำหนดตัวชี้วัด เพื่อวัดผลการดำเนินงาน ว่าดีหรือไม่เพียงใด โดยมีการวัดผลการดำเนินงานของแต่ละกิจกรรม และวัดผลการดำเนินงานในภาพรวมของแผนทั้งหมด
ฉันเป็นพยาบาลที่พึ่งย้ายจากตึกคลอด เพื่อมารับงานตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ถึงแม้ว่าจะไม่เคยผ่านงานชุมชนมาก่อน แต่เพื่อให้งานบรรลุผลตามตัวชี้วัด
ฉันและทีมงานเริ่มดำเนินงานทันทีหลังผ่านการอบรมเพียง 1 อาทิตย์ และหาวิธีรณรงค์ทุกรูปแบบ เพื่อให้สตรีกลุ่มเป้าหมายมาตรวจคัดกรองให้มากที่สุด เช่น ประสานผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสาย ติดตามด้วยวิธี อสม. / จดหมาย/ โทรศัพท์ และออกรณรงค์ให้ความรู้ในเวลากลางวัน ซึ่งพบว่าได้ผลในระดับหนึ่ง และส่วนใหญ่จะเป็นคนเดิมที่มีประวัติเคยได้รับการตรวจคัดกรองมาแล้ว
แรกๆที่เริ่มดำเนินงานฉันคิดว่า คนที่ไม่มาตรวจ ไม่มีความตระหนัก และเคยแอบบ่นเป็นบางครั้งว่า “ถ้าไม่รักตัวเองก็ตามใจเถอะ ” แต่ในขณะเดียวกันก็ยังปฏิบัติงานเต็มที่ ด้วยการออกรณรงค์ให้ความรู้ตอนเย็นหลังเลิกงาน
บ้านหนองปึ๋ง เป็นหมู่บ้านแรกที่ออกรณรงค์ตอนเย็น ฉันและทีมงานไปถึงสถานที่นัดหมายเวลาใกล้ค่ำ พบ อสม.ยืนรอ 6-7 คน “หมอรอซักกำเน้อ เปิ๊นไป๋เยี๊ยะก๋านก่อสร้าง บ่มาง่ายเตื๊อ เปิ๊นจะมากั๋นซัก 6 โมงแลง ” อสม.รีบบอก เมื่อทีมเราไปถึง เวลาผ่านไป “ฮั่นล้อเขามากั๋นแล้ว” อสม.ชี้ให้ดู ฉันมองตาม เมื่อรถแล่นมาถึงจึงโบกมือให้หยุด มองเห็นสตรียืนแน่นด้านหลังรถบรรทุกขนาดเล็ก ฉันนับคร่าวๆ เกือบ 20 คน แต่ละคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน
ฉันชวนให้ทุกคนเข้าไปที่ศาลา แต่ถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความเกรงใจ ” กับข้าวลูกก็ยังบ่ได้เยี๊ยะ น้ำก่ยังบ่ได้อาบเตื๊อ ซัก 8 โมงแลงจะมาได้ ก่หมอ? “ ฉันและทีมงานตอบตกลง คืนนั้นกว่าจะเลิกประชุมประมาณ 5 ทุ่ม และ มีสตรีจำนวนหนึ่งลงชื่อปฎิเสธไม่มาตรวจเพราะยังไม่ว่าง (ซึ่งต่อมาก็จะพบเกือบทุกๆหมู่บ้านที่มีการรณรงค์) ดังนั้น การออกชุมชนด้วยการค้นหากลุ่มเป้าหมายจนถึงเรือนชาน คือ วิธีที่ฉันคิดว่าน่าจะได้ผลดีกว่านี้ หากงานสำเร็จ หมายถึงการได้เลื่อนขั้นเงินเดือนและความดีความชอบ
พี่เรียง คือคนงานในฝ่าย และเป็นคนในพื้นที่ เมื่อออกชุมชนบางครั้งพยาบาลร่วมทีมติดธุระ ฉันก็มีพี่เรียงไปเป็นเพื่อนช่วยให้อุ่นใจ แต่ครั้งนี้ เมื่อฉันเล่าแผนการให้ฟัง ตอนแรกพี่เรียงปฎิเสธ เนื่องจากฉันไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่เป็นคนอีสานที่ย้ายติดตามสามีมา ฉันต้องปะเหลาะพี่เรียงและบอกว่า ฉันกลัวหลงทางเมื่อฉันชำนาญทางแล้วฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนอีก
แต่หลังจากนั้น พี่เรียงกลับเป็นฝ่ายขอฉันไปด้วยทุกครั้ง พร้อมกับบอกว่า “พี่ว่าง ” เพราะการออกชุมชนครั้งนี้ ทำให้ฉันกับพี่เรียงเข้าใจมากขึ้น ที่ว่าทำไมสตรีไม่มาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่น กรณีของ นางวิลัย ที่เล่าให้ฉันกับพี่เรียงฟังว่า “ ทุกวันนี้ก็หากิ๋นไปวันๆ เต้าอั้นนะก่ะคุณหมอ ถ้าบ่ไป๋ย๊ะก๋านเจื่อ เขาจะบ่จ้างเฮา ต่อไป๋จะเอ๋าอะหยังกิ๋น เฮียนหนังสือมาเต้าเอี๊ยะ ” วิลัยกลัวฉันไม่เชื่อ รีบจูงมือฉันเข้าไปในบ้าน และชี้ให้ดูที่มุมห้อง มีชายร่างผอมนอนอยู่บนเสื่อเก่าๆ ใช้ ผ้าเก่าๆม้วนหนุนหัวแทนหมอน
วิลัยเล่าต่ออีกว่า มีสามีพิการ มารดา อายุ 79 ปี หลานอายุ 7 ปี และ 3 ปี ทั้งหมด คือ ความรับผิดชอบ ที่ วิลัย ต้องออกไปทำงานก่อสร้างรายได้วันละ 140 บาท ฉันยืนอึ้งพร้อมกับคิด จริงสิ เราลืมนึกถึงข้อนี้ไป เราเคยเข้าใจว่า มีการกำหนดนโยบายโดยอิงหลักวิชาการ มีงบประมาณโดยมีผู้บังคับบัญชาสนับสนุน มีการวางแผนและกำหนดกิจกรรมเป็นรูปธรรม มีผู้ให้บริการที่มีทักษะเพราะเคยผ่านการอบรม และ มีสูติแพทย์ให้การรักษาเมื่อตรวจพบความผิดปกติ
ทุกอย่างพร้อมหมด แต่เราลืมนึกถึงความพร้อมของสตรีที่จะมารับบริการจากเรา และ การเปิดโอกาสให้สตรีเหล่านี้มารับบริการจากเราได้โดยไม่เสียเวลา ทำมาหากิน แล้วเคยตรวจมะเร็งปากมดลูกมั้ยคะ ” ฉันถาม “ ตรวจมาเมินหลายปี๋แล้ว จำบ่ได้”
วิลัยตอบ ฉันชวนวิลัยไปตรวจ โดยให้เหตุผลว่า ถ้าเป็นอะไรไป ทุกคนในครอบครัวจะเดือดร้อน ฉันถามว่าพรุ่งนี้ถ้าต้องตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อเตรียมอาหารให้คนในครอบครัว และฉันจะมารับไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วจะรีบมาส่งเพื่อให้ทันรถที่มารับไปทำงาน จะทำให้วิลัยเดือดร้อนหรือไม่? วิลัยมีท่าทางดีใจรีบตอบตกลง รุ่งเช้าฉันทำตามสัญญา
หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์ เมื่อได้รับรายงานผล Pap smear พบผลของวิลัย เป็น HSIL (รอยโรคที่มีความรุนแรงสูง) ฉันและพี่เรียงไปบ้านวิลัยเพื่อแจ้งผลตรวจ อธิบายขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยและรักษา และการตรวจติดตามผลของการรักษาซึ่งต้องใช้เวลานานในการติดตาม
วิลัยมีสีหน้าวิตกกังวล ตอนแรกฉันคิดว่าวิลัยกลัวเป็นมะเร็งปากมดลูก จนต้องรีบอธิบาย ว่า เป็นเพียงความผิดปกติเริ่มแรกยังไม่ใช่มะเร็ง แต่ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์ วิลัยรีบพูดสวนฉันทันที ” บ่ใจ้กั๋วต๋าย แต่บ่มีสตางค์หื้อค่ารถ กั๋วขาดงานโตย ก็เลย บ่ ไคร่ไป๋ฮักษา ” พี่เรียงที่นั่งฟังข้างๆฉัน รีบเสนอเงื่อนไขทันที”ถ้าพวกปี้ ช่วยกั๋นฮอมสตางค์ค่ารถหื้อ ตั๋วจะไป๋ก่? “
วิลัยยกมือไหว้ และตอบตกลง ครั้งนี้ฉันนัดคิวส่งต่อ และรายงานแพทย์เพื่อขอใบส่งตัวให้วิลัยโดยไม่ต้องให้ขาดงาน พี่เรียงรับอาสานำใบส่งตัวไปให้วิลัยที่บ้าน พร้อมกับเงินที่สมัครใจแชร์กันออกเพื่อมอบให้วิลัยเป็นค่ารถสำหรับเดินทาง ตอนแรกฉันบอกว่าจะให้เองเพราะพี่เรียงเงินเดือนน้อยกว่าฉัน แต่พี่เรียงให้เหตุผลว่า “พี่อยากมีส่วนร่วม”
หลังรักษา วิลัยนำใบรายงานผลตอบกลับมาให้ฉัน พบว่า มีผลเป็น HSIL ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ครั้งนี้ฉันไม่เห็นวิลัยแสดงสีหน้าวิตกกังวล แถมยังบอกกับฉันว่า หมอที่นครพิงค์บอกให้นำผลการรักษากลับมาโรงพยาบาลสันป่าตอง ซึ่งหลังรักษาต้องมีการตรวจติดตามผลทุก 6 เดือน เมื่อถึงวันนัดตรวจติดตามทุกๆ 6 เดือน
ฉันรีบมาโรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อเปิดโอกาส ให้วิลัยได้รับการตรวจก่อนไปทำงาน ถึงแม้วิลัยจะได้รับการรักษาแล้ว แต่ฉันยังต้องติดตามดูแลต่อไป เพราะสตรีที่เคยตรวจพบความผิดปกติมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้อีก
หลังตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พบความผิดปกติ จะต้องติดตามสตรีกลุ่มนี้มาฟังผลเพื่อส่งรักษา แต่ พบสตรีจำนวนหนึ่งไม่มาตามนัด นันทนา ก็เป็นหนึ่งในสตรีกลุ่มนี้ ฉันส่งจดหมายติดตาม 2 ครั้ง นันทนาก็ยังไม่มา จึงประสานเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้ติดตาม ได้รับคำตอบว่า “ เดี๋ยวจะไป”
ผ่านไป 1 เดือน เมื่อนันทนาไม่มา พี่เรียงเป็นฝ่ายชวนฉันเยี่ยมบ้าน “พี่ขี่รถไปส่งก็ได้ ” บ้านของนันทนาอยู่ไกลนอกหมู่บ้าน “พี่นั่งรออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวผมไปตามมาให้” น้องเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยที่มาส่งบอกเมื่อมาถึงบ้านนันทนา ฉันและพี่เรียงนั่งรอที่ขอนไม้หน้าบ้าน เวลาผ่านไปนาน ทำให้เมื่อย ฉันจึงลุกเดินไปรอบๆบ้าน ได้ยินเสียงครางเบาๆ ดังมาจากในบ้านจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปดู พบ หญิงชรา รูปร่างผอมบาง อายุประมาณ 70-80 ปี นอนงอตัวอยู่ที่แคร่ไม้เก่าๆ ยกพื้นสูงขึ้นมาเล็กน้อย ฉันรีบไปนั่งข้างๆแล้วถาม “ยายจะเอาอะไรคะ”
เมื่อได้รับคำตอบว่า “ใคร่อยากกิ๋นน้ำ” ฉันรีบรินน้ำและประคองยายลุกนั่ง เพื่อ ให้ยายดื่มน้ำได้ถนัดขึ้น และประคองให้นอนพร้อมกับห่มผ้าให้โดยที่ยังไม่ทราบว่าหญิงชราเป็นใคร ?
เมื่อเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยขี่รถกลับมา พร้อมกับบอก “ผมตามมาให้แล้ว” ฉันเห็นหญิงร่างผอมบาง ผิวคล้ำจากการกรำแดดนั่งซ้อนท้ายรถมาด้วย ซึ่งก็คือนันทนานั่นเอง ฉันแนะนำตัว และถามว่า “ได้รับจดหมายจากหมอมั้ยคะ” นันทนาพยักหน้ามีแววตาอมทุกข์ และมีสีหน้าเหมือนรู้สึกผิด ฉันแจ้งผลตรวจ อธิบายขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยและรักษา ซึ่งนันทนาจะถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์ และฉันนัดไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสันป่าตองเพื่อขอใบส่งตัว
วันนัด เมื่อฉันเดินออกมานอกคลินิก พบนันทนายืนรีๆรอๆ อยู่หน้าห้อง ฉันถาม “มานานหรือยังคะ” ได้รับคำตอบว่ามาตั้งแต่เช้า “ แล้วทำไมไม่เข้าไปหาพยาบาล” คำตอบที่ฉันได้รับคือสีหน้าแสดงความวิตกกังวล และแววตาละล้าละลัง ฉันจูงมือนันทนาเข้าไปในคลินิกเพื่อให้คำปรึกษาตรวจ Anti HIV (ก่อนส่งทำคอลโปสโคป ) แนะนำให้ไปตรวจเลือดที่ห้องแลป ผ่านไป 1 ชั่วโมงฉันไปธุระ และเดินผ่านหน้าห้องแลป พบนันทนายังยืนถือบัตรทะเบียนประวัติผู้ป่วย จึงแวะไปถาม “ตรวจเลือดหรือยังคะ ” คำตอบคือ “กั๋วเปิ๊นว่า ก็เลยบ่กล้าเข้าไป๋ ”
ฉันก็เลยเป็นธุระจัดการให้ พร้อมกับคิด ไปโรงพยาบาลนครพิงค์ นันทนาจะทำอย่างไร? ดังนั้น ฉันจึงพานันทนากลับมาที่คลินิกอีกครั้ง เพราะสังเกตพบสีหน้าวิตกกังวลของนันทนา และฉันได้รับคำบอกเล่าว่า ในครอบครัวมี 4 คน มารดาอายุ 82 ปี ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลูกชายคนโตกำลังเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 และลูกชายคนเล็ก อายุ 5 ปี ที่นันทนาบอกว่า“ เป็นห่วงไอ้ตั๋วหน้อย”
ทุกวันต้องออกไปรับจ้างรายได้วันละ 70-100 บาท รายได้ต่อวันน้อยเพราะรับจ้างใกล้ๆบ้าน เนื่องจากกลางวันต้องกลับมาดูแลแม่ ” หากิ๋นทุกวันนี้ ก็ยังบ่พอกิ๋น “ และพูดอีกว่า “บ่เคยไป๋ซักเตื้อ โฮงยานครพิงค์” ขณะพูดมีสีหน้าและแววตาหมอง จนฉันต้องรีบพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะพยาบาลจะขอเปลี่ยนคิวนัดตรวจจากวันพุธมาเป็นวันอาทิตย์แทน แล้วจะไปส่ง เพราะพยาบาลจะไปทำธุระแถวนั้นพอดี ” นันทนายกมือไหว้และตอบตกลง
วันนัด ฉันนั่งรอที่สถานีอนามัย 1 ชั่วโมง มาถึงนันทนารีบยกมือไหว้และขอโทษ ที่มาช้าเพราะ ไปทำธุระให้ลูกชาย เมื่อขึ้นนั่งบนรถ นันทนาเล่าต่อ ลูกชายเรียนเก่งสอบทุนได้ จึงตัดสินใจส่งลูกเรียนต่อ ม.4 ขณะเล่ามีสีหน้ายิ้มแย้ม นับเป็นรอยยิ้มแรกที่ฉันเห็น “ กินข้าวเช้าหรือยัง ”
ฉันถามพร้อมกับเอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อหยิบขนม 2 ชิ้น และส่งให้ 1 ชิ้น นันทนายกมือไหว้ก่อนรับเอาขนมไป ฉันแกะขนมกิน พร้อมกับถาม “ทำไมไม่กิน” นันทนาไม่ตอบ แต่ค่อยๆหย่อนขนมใส่กระเป๋าเสื้อ และพูดว่า “จะเก็บไว้หื้อลูก ”
ฉันนั่งอึ้ง กลืนขนมแทบไม่ลง ทั้งที่กำลังหิว ถึงแม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ฉันมองเห็นความรักและความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกแฝงอยู่ในคำพูดนั้นอย่างชัดเจน ฉันบอกนันทนาว่า “กินเถอะ ขากลับเราจะแวะตลาดแล้วค่อยซื้อขนมไปฝากลูก ” ได้ยินฉันบอกนันทนาจึงล้วงขนมออกจากกระเป๋าและแกะกินด้วยท่าทางเกรงใจ
รถแล่นมาได้ซักระยะ นันทนาได้เอ่ยสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจ ”คุณหมอเจ้าเปิ้นเยี้ยะถนนเป็นสองตางตั้งแต่เมื่อใด” “เขาทำมาได้เกือบสิบปีแล้ว”ฉันตอบ เธอจึงเล่าว่า ไม่เคยเข้ามาในตัวเมืองนานนับ 10 ปี เพราะมัวแต่ทำมาหากิน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลนครพิงค์
ฉันทำหน้าที่เป็นญาติผู้ป่วย วิ่งทำบัตร ถ่ายเอกสาร และฟังคำอธิบายจากพยาบาลที่นั่นเพื่อรับข้อมูลมาถ่ายทอดและอธิบายให้นันทนาทราบ ขากลับ เมื่อผ่านตลาด ฉันแวะซื้อขนมตามสัญญา และฝากขนมให้ลูกนันทนาด้วย ขณะนั่งรถกลับฉันให้ข้อมูลการตรวจติดตามผลของการรักษา และจะประสานเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยให้ตรวจที่นั่นจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาโรงพยาบาล
นันทนาบอกว่า อีก 10 วันหมอนัดมาฟังผล และพูดต่อ “ฮู้ตี้แล้ว บ่ต้องมาส่งเจ๊าก็ได้ เกรงใจหมอ” ถึงแม้นันทนาจะช่วยเหลือตนเองได้ แต่ฉันจะต้องติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง จนกว่านันทนาจะปลอดภัย
เมื่อก่อนที่ฉันเคยคิดว่า เราต้องทำงานให้บรรลุผลตามตัวชี้วัดที่ตั้งไว้ หากงานสำเร็จ หมายถึง การได้รับความดีความชอบ แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากสตรีกลุ่มนี้ ก็คือ ตัวชี้วัดที่ฉันตามหาไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขหรือเปอร์เซ็นต์ในกระดาษที่แสดงให้เห็นถึงผลงานที่ฉันทำ แต่ ”มันคือชีวิตที่มีความสำคัญต่อครอบครัว”
และ ฉันก็ค้นพบคำตอบที่ทุกๆ คนพากันสงสัย ที่ว่า ทำไมสตรีไม่มาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก? ไม่ใช่ไม่ตระหนัก ไม่ใช่ไม่กลัวตาย แต่ เป็นเพราะสตรีส่วนหนึ่งมีภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ทำให้ยังไม่มีโอกาสไปรับบริการ ทุกๆคำบอกเล่า และจากการสัมผัส ด้วยตา คือความจริง ที่ฉันบันทึกไว้ในความรู้สึก ……
ขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาที่ไว้วางใจมอบหน้าที่ให้ทำ ถ้าไม่มีหน้าที่ฉันคงไม่มีโอกาสได้ทำ และ อาจารย์ VIA ทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้เรื่องโรค ทักษะ และเทคนิคของการตรวจคัดกรองที่มีคุณภาพ รวมทั้งจิตสำนึกของการทำงานบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่ใช้จิตวิญญาณที่ดี ในการทำหน้าที่เพื่อดูแลสตรีที่เป็นเพศเดียวกัน
ถึงแม้จะเป็นเพียงการทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่อสตรีเหล่านี้ ที่บางคนอาจมองข้าม แต่ทุกชีวิตก็มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของพวกเขา เพราะไม่เพียงแต่เป็นการรอดชีวิตของสตรีกลุ่มนี้เท่านั้น แต่เป็นการมีชีวิตอีกต่อไปของอีกหลายๆชีวิตในครอบครัวเหล่านี้ด้วย ซึ่งในลักษณะของสังคมไทยถือว่าแม่มีความสำคัญ ที่ไม่อาจเลือนหายไปจากครอบครัวได้ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ
ถือว่าแม่มีความสำคัญมาก ที่ไม่อาจขาดหายไปจากครอบครัวได้
“ ขอบคุณค่ะพี่เรียง” ที่มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ของมนุษย์ที่พึงมีต่อมนุษย์ด้วยกัน...
******
แล้วเราคงได้เจอกันอีกนะครับ...พี่ด๊อส
พี่ต้องเรียกว่าคุณครู แล้วค่ะ
เพราะเป็นผู้ที่กระตุ้นให้พี่ กล้าที่จะกระโดดเข้าสู่เวที
แห่งการเรียนรู้ เราคงได้พบกันอีก