บทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 19 กรกฏาคม 2551
8 บทเรียนผู้นำของ Mandela
หวังว่าแนวทางการเขียนบทความของผมในหนังสือพิมพ์แนวหน้ายุคใหม่ จะทำให้ท่านผู้อ่านได้รับประโยชน์มากขึ้น ย้ำอีกทีว่า ผมได้เสนอแนวคิดเมื่อ 2 อาทิตย์ ที่แล้ว 2 เรื่อง คือ
- Coaching
- Creativity
ทั้งสองประเด็นเป็นเรื่องสำคัญ Coaching คือ ทักษะที่ผู้นำทุกคนต้องมี คือจะต้อง รู้ปัญหาต่าง ๆ ของลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานในงานที่ทำ และหาทางแก้ไข ปรับปรุง ผู้นำไม่ใช่นั่งและสั่งการ ผู้นำต้องฝึกฝนให้ลูกน้อง หรือ ผู้ร่วมงานไปสู่จุดที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น
ส่วนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ Creativity เป็นเรื่องที่จำเป็นมากเพราะองค์กรไหน ไม่มีแนวคิดใหม่ ๆ และเสนอวิธีการที่จะทำให้องค์กรโดดเด่น และนำไปปฏิบัติ องค์กรเหล่านั้น ก็จะทำงานแบบตัว R เป็นหลัก คือ งาน Routine ประจำวัน เคยทำอย่างไร ก็ทำแบบเดิม Creativity ทำให้คนในองค์กรมีพลัง มี Energy และถ้ามี Energy คนในองค์กรทั้งหมดก็ถูก Energize ขึ้นมา
อาทิตย์นี้มีวันหยุดยาว ผู้อ่านคงจะสบายๆ อยู่บ้าน หรืออยู่กับครอบครัว หรือไปวัดเพื่อแสวงหาคุณธรรม และธรรมะ
ผมจึงขอเสนอแนวคิดเรื่องภาวะผู้นำ ซึ่งเป็นของอดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ Mr. Nelson Mandela ซึ่งโลกชื่นชมมาก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ Mandela อายุครบ 90 ปี หนังสือ Time เล่มใหม่สุด ได้ลงหน้าปกยกย่อง ฉลอง 90 ปี ของ Mandela ซึ่งได้ให้ Wisdom (ความลึกซึ้ง) อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่ท่านได้สะสมมาจวบจนทุกวันนี้ 8 เรื่อง
ในฐานะที่ผมพัฒนาผู้นำอยู่ทุกวัน ได้อ่านแล้ว บอกตัวเองว่า ลึกซึ้งมาก และมาจากประสบการณ์ที่สะสมมานาน เพราะ Mandela มีประสบการณ์อย่างน้อย 3 เรื่อง
- ช่วงทำงานเริ่มแรกในฐานะนักกฎหมาย มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยคนผิวดำแอฟริกาใต้ให้หลุดพ้นจากการเหยียดผิวของรัฐบาลผิวขาว
- สู้จนต้องเข้าคุก 27 ปี ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่าในช่วง 27 ปี คุณ Mandela มีความมุ่งมั่นที่จะแสวงหา สติและปัญญา อย่างไร
- การเรียนรู้ในช่วงอยู่ในคุก 27 ปี และดำรงชีวิตให้อยู่รอดช่วง 27 ปี แทนการคิดล้างแค้นคนผิวขาว แต่ได้สร้างความปรองดองระหว่างผิวขาวกับผิวดำและเกิดสันติภาพขึ้นอย่างถาวรในประเทศของเขา
ผมว่าแค่ 3 ประเด็นนี้ ก็พอเพียงที่จะให้คนไทยทุกคนได้เข้าใจ และนำไปคิด โดยเฉพาะคนที่บ้าคลั่งอำนาจเงิน และอำนาจการเมือง และคิดว่าผู้นำจะต้องเป็นแบบนั้น
ใน 8 ประเด็นของความเป็นผู้นำของ Mandela มีดังต่อไปนี้
1. ความกล้าหาญ ไม่ใช่ ไม่มีความกลัว แต่เป็นความสามารถที่จะจุดประกายให้คนอื่นสามารถไปสู่จุดของความเป็นเลิศได้ ตัวอย่างของ Mandela ก็คือเห็นความเจ็บปวด ความอดทน ที่อยู่ในคุก 27 ปี ทำให้คนอีกเป็นจำนวนมาก มีความหวัง ผมชอบมุมมองแบบนี้ เพราะแปลว่า ความกล้าหาญ ไม่ใช่แค่ เป็นทหารกล้าตาย แต่กล้าที่จุดประกายและเป็น Role Model ให้คนอื่น ๆ เป็นเลิศ
2. การเป็นผู้นำอยู่ข้างหน้า ก็จำเป็น แต่อย่าเปิดแนวหลังให้มีความอ่อนแอ ซึ่งจุดนี้ดีมาก คือ ต้องรุกได้ แต่ต้องตั้งรับ และไม่ประมาท
3. การนำอยู่ข้างหลัง จะต้องแน่ใจว่า คนที่เรายกย่องให้มีบทบาทอยู่ข้างหน้า ต้องให้เขามีความรู้สึกว่า เขาได้นำอย่างน่าภูมิใจ และสมศักดิ์ศรี อย่างเช่น การเมืองไทยยุคปัจจุบัน คุณทักษิณ คุณเนวิน อยู่เบื้องหลัง คนที่อยู่ข้างหน้าแทนทั้งสองท่าน ต้องสร้างความรู้สึกว่าเขานำจริง ไม่ใช่ทำแบบ "นอมินี"
4. ข้อนี้ ผมชอบ ถ้าจะจัดการบริหารศัตรู ต้องรู้จักเขาดีว่า เขาชอบอะไร คุณ Mandela เน้นว่า จะศึกษาศัตรูให้ดี ต้องรู้ว่า เขาบ้าคลั่งกีฬาอะไร ผมกำลังเริ่มเขียนบทความ "เรียนรู้กีฬา กับ ดร.จีระ" ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬาทุกวันพุธ ประจวบเหมาะเลยว่า ต้องศึกษาคู่ต่อสู้ว่า "เขาชอบกีฬาอะไร" อย่างใครที่อยากรู้จักผมลึก ๆ ต้องรู้ว่าผมบ้าทีมสเปอร์ส ใครจะพูดเรื่องแมนยูฯ หรือ ลิเวอร์พูล ผมก็เฉย ๆ
5. การจะอยู่อย่างผู้นำควรใกล้ชิดกับเพื่อนแน่นอน แต่กับคู่แข่ง หรือคนที่เราไม่ชอบ ต้องใกล้ชิดมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ชีวิตคนเราจะคบแต่คนสนิท และคนที่ชอบพอ และไม่สนใจคู่แข่งหรือศัตรูไม่ได้ แนวทางแบบนี้ น่าจะใช้ในวงการธุรกิจ วงการบันเทิง วงการกีฬา และวงการการเมืองได้ดี
6. ผู้นำต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี ต้องปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ อย่างมีเกียรติและสง่างามเสมอ เวลาพบผู้คน ต้องยิ้ม และมีความเป็นกันเอง ซึ่งปัจจุบันคนให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ บางองค์กร มีหลักสูตร พัฒนาบุคลิกภาพ หรือ การสอนให้เข้าสังคม หรือ มารยาทในการรับประทานอาหารหรือการแต่งตัวที่เหมาะสม ผมเรียกผู้นำแบบนี้ว่า "Charismatic Leadership" ตัวอย่างที่ดีก็คือ ประธานาธิบดี John F. Kennedy
7. การเป็นผู้นำแนว Mandela อย่าไปเน้น ถูกหรือผิด แบบ 100% หรืออย่าไปเน้น ขาวหรือดำ 100% บางครั้ง เราต้องมีทางออกที่พบกันครึ่งทาง มีการประนีประนอมที่เหมาะสม แต่รักษาหลักการไว้ และหาทางตกลงกันได้แบบ Win - Win
8. การเป็นผู้นำที่ดี ต้องรู้ว่าจังหวะไหน จะ "พอ" หรือ จะ "ถอย" ตัวอย่างก็คือ คุณจำลอง กับคุณทักษิณ ดูว่า ผู้นำทั้งคู่ว่า จุดใดที่ชนะแล้ว ควรถอย การถอย ไม่ได้แปลว่า แพ้ อย่างในประวัติศาสตร์การเมืองจะเห็นว่า จอมพล ป. อยู่ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักพอ นายกฯเปรม ได้เป็นรัฐบุรุษ เพราะนายกฯ เปรม รู้จักพอ คุณทักษิณ น่าจะอ่าน Time Magazine เล่มหน้าปก Mandela อ่านแล้วต้องเข้าใจและเริ่มเรียนรู้ว่า มนุษย์ทุกคนต้องเรียนรู้ หากคิดว่าสิ่งที่เราคิดต้องถูกเสมอ เพราะเชื่อคนใกล้ชิดเสนอแนะอะไรที่คิดว่าเราชอบ หรือพอใจ ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์แบบ 360 องศา (รอบด้าน) เพื่อปรับวิธีคิดและวิธีการทำงาน
ผมจึงขอฝากแนวคิดของ Mandela ไว้ให้ทุกๆ ท่านได้นำไปคิด แต่อย่า Copy ต้องเข้าใจ understanding ว่า Mandela มาถึงจุดนี้เพราะอะไร และสร้าง Value (คุณค่า) ให้เกิดขึ้นในแต่ละท่าน คือ นำไปสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสม แต่ใครจะทำได้แค่ไหน ก็อยู่ที่ความคิด และทัศนคติ และคุณค่า (Value) ที่ทุกๆ คนมองว่าคุณค่าของการเป็นมนุษย์ที่ดีคืออะไร ในเมืองไทยผู้นำหลายๆ คนต้องกลับไปศึกษาทฤษฎีของ Maslow ด้วย ซึ่งเน้นสุดยอดของมนุษย์ คือ ตอนตาย ใครจะพูดถึงเขาหรือไม่ และพูดว่าอะไร ?
บทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2550 ผู้นำรุ่นใหม่: อภิสิทธิ์ , Obama และ Mededev (บทเรียนจากความจริง กับ ดร.จีระ) |
บรรยากาศของความสุขและความปลื้มปีติของคนไทยในเดือนธันวาคม 2550 ยังมีต่อไป การเรียนรู้จากแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำไปใช้ หรือปรับพฤติกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่อง อาจารย์มหาวิทยาลัย ครูมัธยม ครูประถม คงจะใช้แนวคิดของพระองค์ท่านเป็นบทเรียนต่อไป โดยเฉพาะวิธีหาความรู้ของพระองค์ท่านที่เน้น จีระ หงส์ลดารมภ์ |
บทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2552
ศึกษากรณี คุณยรรยงที่ครม.
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีข่าวร้อน ๆ การเมืองก็ดูจะจาง ๆ ไป
เช้าวันที่ 14 ก็ได้เห็นข่าวใหญ่ที่น่าสนใจมาก กรณีขออนุมัติครม.ประมูลข้าวโพดของกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 13 ซึ่งรัฐมนตรีพรทิวา ขอให้คุณยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในมาชี้แจงซึ่งหลังจากนั้นก็มีการถกเถียงกันอย่างหนักระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์และ ครม.ท่านอื่นๆ
โดยคุณยรรยง อธิบายต่อครม. :
จึงขอถือโอกาสวิเคราะห์แบบเป็นกลางและอาจจะมีบทเรียนบางอย่างน่าสนใจให้ท่านผู้อ่านได้นำไปวิเคราะห์ดู
คำถามคือ ทำไม่จึงเกิดเหตุการณ์ที่ครม.ในวันที่ 13 กับคุณยรรยงทั้งๆที่เป็นข้าราชการที่ดีและเป็นตัวเก็ง ปลัดกระทรวงพาณิชย์คนต่อไป
ผมสนใจบทบาทของนักการเมืองกับข้าราชการประจำมานาน ทำให้ผมฟังข่าวนี้เป็นพิเศษ
ในยุคทักษิณเป็นยุคที่ข้าราชการตกต่ำสุดขีด เพราะยอมทุกอย่างที่นักการเมืองต้องการเรียกว่าช่วงทักษิณสร้างระบอบนี้ไว้อย่างฝังรากลึก
ประเทศที่เจริญแล้ว ประชาธิปไตยนักการเมืองต้องนำ พร้อมคุณธรรม และธรรมาภิบาล มีประโยชน์ต่อส่วนรวม
ดูสไตล์คุณพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้หญิงเก่งของเราก็คงเข้าใจได้บ้าง หลังจากเรียนงานเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ พักหนึ่งก็เริ่มเห็นช่องทางในกระทรวงพาณิชย์มากขึ้น
เรื่องโควตาประมูลข้าวโพดและโควตาประมูลข้าว ก็เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีพรทิวาสนใจเป็นพิเศษ เพราะหมายถึงการหาทรัพยากรเข้าพรรคซึ่งทุกพรรคการเมืองก็คงทำ แต่ต้องทำให้เนียนไม่สร้างผลกระทบเรื่องความโปร่งใสให้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์
ผมคิดว่าคุณยรรยงคงถูกมอบให้มาเป็นผู้แถลง เพื่อครม.จะได้อนุมัติโครงการดังกล่าว ซึ่งความจริง รัฐมนตรีควรทำหน้าที่เองได้และผมคิดว่า จุดอ่อนของคุณยรรยงคงขาด ประสบการณ์ในระดับความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการกับการเมือง ขาดวิจารณญาณที่รอบคอบ จึงทำไปแล้วถูกใจรัฐมนตรีพรทิวา แต่ไม่ถูกใจ ครม.ทั้งคณะ และจะสร้างปัญหาให้แก่ตัวคุณยรรยงเอง ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือของการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสายตานายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
บทเรียนครั้งนี้ประยุกต์เข้ากับทฤษฎีของการตัดสินผิดพลาดของคนเก่ง ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้อ่านหนังสือชื่อว่า Think again เขียนโดย Sydney Finkelstein, Jo Whitehead และ Andrew Campbell ซึ่งร้านคิโนคุนิยะได้นำเสนอให้ผมมาวิจารณ์ให้คนไทยนำไปใช้และวิเคราะห์
ที่ผมชอบหนังสือเล่มนี้เพราะสามารถประยุกต์กับคนไทยได้บางเรื่องและบางเรื่องต้องเข้าใจบริบทของสังคมการเมืองไทยด้วย
ในหนังสือเล่มนี้ เขามี 2 ตาราง
ผิดพลาด |
ทางป้องกัน |
|
|
ผลประโยชน์ของใครกันแน่ ชาติหรือส่วนตัว ซึ่งคุณยรรยงต้องไม่อยู่ในกับดักในจุดนี้
ผมคิดว่าทางรอดของคุณยรรยงในอนาคตคือ ถ้าบางเรื่องถูกต้องการเมืองไม่พอใจก็คงต้องทำไปสู่จุดที่ไม่ถูกต้องก็ต้องทำแบบคุณหญิงทิพาวดี คือถ้าฉันถูกย้าย ฉันก็โอเค หรือ วิธีการเน้นแบบกลางๆ แบบ win win ทั้งกระทรวงพาณิชย์และครม.ไม่เสียหน้า ซึ่งประเด็นที่สอง เน้นความฉลาดเฉลียวที่ข้าราชการผู้ใหญ่ ต้องมีการฝึกให้อยู่รอดในการเมืองไทย ผมหวังว่าอ่านคงจะต้องเรียนรู้ว่า คนดีอย่างคุณยรรยงไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองโดยไม่จำเป็น
และประเด็นสุดท้ายก็คือระบอบทักษิณในอดีตที่พยายามให้ข้าราชการอ่อนแอและยอมศิโรราบต่อนักการเมือง ผมเห็นเรื่องเหล่านี้มาตลอด มีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นผ.อ.อาชีวะบอกว่าทฤษฎีที่อาจารย์ให้มาในตารางขาดอยู่เรื่องหนึ่งที่ฝรั่งไม่เข้าใจคืออำนาจแฝงทางการเมือง ยุคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ต้องยกย่องข้าราชการประจำให้เขามีเกียรติและมีศักดิ์ศรี