หัวหน้าครอบครัววัย 16 ปี


หัวหน้าครอบครัว วัย 16 ปี ดูแลยายอายุ เกือบ 90 ปี และน้องอีก 3 คน

  

หัวหน้าครอบครัว หมายถึง ผู้ใหญ่ในแต่ละครอบครัวซึ่งอาจจะหมายถึง พ่อ แม่หรือผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งก็เรื่องปกติของครอบครัวในทุกครัวที่มีผู้ใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัว

    แต่ที่ผมจะกล่าวถึง  เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย  16 ปี ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลคนในครอบครัวให้มีชีวิตรอดไม่อดตาย เขาดูแลยายอายุ เกือบ 90 ปี ดูแลน้องสาว 1 คนและน้องชายซึ่งเป็นลูกของป้าอีก 2 คน เด็ก 3 คนกำลังเรียนในระดับประถมศึกษาในโรงเรียนเล็กๆใกล้บ้านและตัวของเขาก็เพิ่งจบ ม.3 และกำลังเรียนต่อ ม.ปลายในระบบกศน. ลองมาอ่านประวัติของเขาดู ว่าเขาทำไมถึงมีความรับผิดชอบสูงขนาดนี้แล้วพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านหายไปไหนหมด ผมจะเล่่าให้ท่านได้ทราบกัน

    ผมได้รูจักกับน้องมาตั้งแต่เขากำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 เพราะมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กได้ให้ทุนการศึกษากับเด็กๆในโรงเรียนที่น้องเขาเรียน และได้ให้ทุนการศึกษาต่อเนื่อง จนเขาเรียนจบมัธยมศึกษาปีที 3 

  เมื่อประมาณ4 ปีที่แล้ว พ่อพาเขามาฝากไว้กับป้าตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5เพราะครอบครัวเหลือพ่อเป็นผู้ดูแลลูกเพียงลำพัง หลังจากที่แม่เลือกที่จะมีชีวิตใหม่กับชายอื่น และพ่อคงพาลูกติดตามไปไม่ได้ทุกที่ เพราะอาชีพที่พ่อทำเป็นงานก่อสร้างที่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยตามนายจ้างลูกไม่มีอนาคตแน่ถ้าอยู่กับพ่อ พ่อจึงพาลูก 2 คนมาฝากไว้กับป้าซึ่งก็ไม่ได้ฐานะร่ำรวยอะไร และป้าเองก็เป็นหญิงแกร่งเลี้ยงลูกโดยลำพังมีสภาพเหมือนพ่อเด็ก ป้าของเขามีลูกชาย 3 คน  ลำพังลูกตัวเอง 3 คน ป้าก็แทบไม่มีให้ลูกกิน  เพราะทำงานคนเดียว ทำงานรับจ้างทั่วไปตามฤดูกาลไม่มีที่ดินทำกิน  รายได้ก็ไม่แน่นอน มีบ้างไม่มีบ้าง ทำให้ป้าต้องคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงกอดคอกันตาย อยู่กันแบบปากกัดตีนถีบได้ประมาณ ๑ปี  ป้าก็ตัดสินใจเดินทางไกลไปกับเพื่อนที่รู้จัก เพื่อไปหางานทำในภาคใต้ ป้าไม่ได้บอกว่าไปจังหวัดไหน ทำอะไร เวลาผ่านไปเป็นเดือน เป็นปี และจนถึงปัจจุบันป้าก็ยังไม่ส่งข่าวมา

นี่คือการเริ่มต้นของหัวหน้าครอบครัวคนไหม่  ที่จะต้องช่วยให้ครอบครัวรอด น้องต้องได้เรียน

 ตอนนั้นเขาอายุ 13 ปี เป็นผู้ชายคนเดียวที่โตที่สุดในบ้าน แข็งแรงที่สุด คนเดียวที่จะทำให้ยายวัยเกือบ 90 ปี และน้องๆไม่อดตาย  เขาทำงานทุกอย่างที่จะสามารถแลกอาหารมาได้ เขารับจ้างดำนา  ไถนา เกียวข้าว ถางหญ้า ในบางครั้งไม่มีงานทำนาก็จะเข้าไปช่วยซื้อของ ในตลาดให้ชาวบ้าน ค่าแรงที่ได้บางครั้ ก็เป็นข้าวสาร อาหารสำเร็จ และเงินตั้งแต่ 20 - 100 บาท และมีชาวบ้านในชุมชนมองเห็นถึงความขยันและรับผิดชอบของเข ชาวบ้านจึงได้จ้างเลี้ยววัวโดยได้ค่าจ้างเป็นวัวโดยถ้าออกลูกมาตัวแรกเป็นของเจ้าของ ตัวที่สองเป็นของเด็ก  งานนี้เป็นงานที่น้องช่วยได้ ทุกคนช่วยกัน   เขาทำเช่นนี้จนเขาเริ่มเรียนม.1

    ชีวิตวัยรุ่นโดยทั่วไปมักชอบเที่ยวแตร่ ติดเพื่อน เล่นเกมส์และมีความรับผิดชอบน้อยในเรื่่องส่วนรวม  แต่เด็กคนนี้มีชีวิตที่ตรงกันข้าม  เวลาเลิกเรียนเพื่อนกลับบ้าน บางคนก็เข้าร้านเกมส์ แต่เขาเดินเข้าปั้มน้ำมัน เพื่อทำงานต่อในตอนเย็นจนถึง 5 ทุ่มปั้มปิด บางวันก็พักที่ปั้มบ้างก็กลับบ้าน  แต่ในทุกเช้าเขาจะไม่ลืมที่ซื้ออาหารกลับไปฝากน้องๆและยาย

     จนเขาเรียนจบม.3 เขาคิดอยู่นานว่าจะเรียนต่อม.4 ที่เดิมดีหรือไม่ ถ้าเรียนก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ เงินก็ไม่พอใช้จ่าย น้อง 3 คนวัยกำลังเรียน    น้องสาวกำลังเรียน ป.6 น้องซึ่งเป็นลูกของป้า กำลังเรียน ป.4 และ ป.5 อีก2 คน ยายก็แก่มากแล้ว จะทำอย่างไร

   เขาตัดสินใจเลือกเรียน กศน. ม.ปลายดีกว่าเพราะเขาจะได้ทำงานได้เต็มที่  ปัจจุบันเขาทำงานอยู่ที่ป้ัมน้ำมันเล็กๆในอำเภอที่เขาอยู่ และเขาบอกว่าถ้าเขาเรียนจบ ม.6 เขาก็จะไปเรียนต่อ ปวส.ในจังหวัดและก็จะเรียนให้จบปริญญาตรี เขายังบอกทิ้งท้ายว่า

"ผมเชื่อว่า  การศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตผมได้"

 เด็กที่มีความกตัญญู มีความรับผิดชอบสูงอย่างนี้แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนยังทำไม่ได้เลย แล้วเราจะปล่อยให้เข้าสู้ชีวิตแบบนี้โดยลำพังหรือ

 

บุคคลที่ผมกล่าวถึงคือ

นายจีรศักดิ์  กับรัมย์

อยู่บ้านถนน ต.กระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

เรียนจบจากโรงเรียนกระสังพิทยาคม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก๐๒๕๗๔๑๓๘๑

เราต้องยากจน จึงจะรู้ซึ้งถึงความหรูหราของการให้

หมายเลขบันทึก: 390301เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2010 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
สรรพางค์ พิทักษากร

น่าชื่นชมมาก อยากให้น้องจีรศักดิ์้เชื่อมั่นต่อไป การศึกษาช่วยพัฒนากระบวนการคิดทั้งสมองและจิตใจ บวกกับความขวนขวายและรักดี ชีวิตน้องต้องดีขึ้นแน่นอน อยากสนับสนุนให้น้องได้เรียนจนจบ ป.ตรี หากขาดแคลนทุนการศึกษาขอให้ติดต่อมา อยากฝากไว้ว่า การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียน ใครที่มีนิสัยรักการอ่านหนังสือมีภาษีเหนือคนที่ไม่ชอบอ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทไหนก็ตาม ชีวิตการทำงานก็เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้จากผู้คนจริง ซึ่งห้องเรียนก็ไม่สามารถให้ได้

ขอบคุณ คุณสรรพางค์ ที่ส่งกำลังใจมาให้น้อง ผมเชื่้อว่าน้องคงดีใจที่มีผู้ใหญ่ใจดี มองเห็นคุณค่าในตัวของเขา

"เราต้องยากจน จึงรู้ถึงความหรูหราของการให้" เขารอเราอยู่ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท