ท้ายที่สุด... ก็ต้องปล่อยวาง


เราอาจจะโกรธแค้นกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เป็นไป เราอาจด่าทอโชคชะตา แต่ท้ายที่สุด ก็ต้องปล่อยมันไป

ตอนที่หนังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ออกฉายใหม่ๆ ฉันตั้งใจจะไปดูกับเพื่อนร่วมงาน เพราะบังเอิญตัวละครหลักมีชื่อพ้องกับเจ้านายที่น่ารักของพวกเรา แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่ได้ไปดูจนหนังเรื่องนั้นออกโรงไป เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้จาก HBO ในค่ำคืนที่ตาสว่างเนื่องจากร่างกายพยายามปรับเวลาหลังเดินทาง

หนังเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตที่ออกจะแปลกของชายคนหนึ่งที่เขาเกิดมามีชีวิตที่เดินสวนทางกับคนทั่วไป เขาเกิดมามีหน้าตาเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่อายุ 80 ปี เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กในสภาพของชายแก่ และเด็กลงเรื่อยๆจนถึงวัยทารกในตอนสุดท้าย ด้วยสถานการณ์และความต่างที่เกิดขึ้น หนังเรื่องนี้นำเสนอข้อคิดดีๆหลายประการ....

เบนจามินเกิดมาในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตระกูล บัททอน ครอบครัวเขามีธุรกิจทำกระดุมมารดาของเขาเสียชีวิตหลังจากที่เขาเกิดมาไม่นาน พ่อของเขารู้สึกตกใจปนอับอายที่เขามีสภาพร่างกายที่ค่อนไปทางอัปลักษณ์ จึงนำบุตรชายไปทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงคนชราในเมือง หญิงสาวที่ดูแลบ้านพักคนชรานั้นรับเขาไว้เป็นบุตรบุญธรรมและตั้งชื่อให้เขาว่า เบนจามิน

เบนจามินใช้ชีวิตในวัยเด็กร่วมกับผู้คนในบ้านพักคนชราด้วยความผาสุกด้วยสภาพร่างกายและความคิดที่ใกล้เคียงกับคนเหล่านั้น ณ ที่นั่นเขาได้พบเด็กหญิงคนหนึ่งที่เขาถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกพบ เพราะยายของเด็กหญิงคนนั้นมาพักอยู่ที่บ้านพักคนชรานั่นเอง

เมื่อเริ่มโตขึ้นเขาเริ่มสังเกตถึงความแตกต่างในสภาพร่างกายของเขา จากที่ต้องใช้รถเข็นเขาก็เริ่มเดินได้ เขาบอกกับแม่บุญธรรมของเขาว่า บางวันเขารู้สึกแตกต่างจากวันก่อนๆ แม่ของเขาตอบว่า “Everyone feels different about themselves one way or another, but we all goin' the same way." " เราทุกคนมักรู้สึกแตกต่างกันไปไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม แต่เราทุกคนเดินทางไปในทางเดียวกัน (จุดหมายเดียวกัน)”

ในระหว่างนั้นสิ่งที่เขาเห็นบ่อยครั้งคือการจากไปของสมาชิกในบ้านพักคนชรานั้น หญิงชราคนหนึ่งบอกกับเขาว่า ”Benjamin, we're meant to lose the people we love. How else would we know how important they are to us?” "เบนจามิน เราจำต้องสูญเสียคนที่เรารักไป มิเช่นนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นเขามีความหมายกับเรามากเท่าไร?"

เมื่อเขาอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาไปทำงานที่ท่าเรือกับกัปตันเดินเรือคนหนึ่งชื่อกัปตันไมค์ และเขาก็ได้พบกับทอมมัสพ่อของเขา พ่อของเขารู้ว่าเบนจามินคือลูกที่เขานำไปทิ้งไว้ที่บ้านพักคนชรานั้นและรู้สึกสำนึกผิดแต่ก็ไม่ได้บอกความจริง เมื่อเวลาผ่านไปเบนจามิน ได้ออกเดินเรือไปตามที่ต่างๆ และได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองด้วย เขารอดชีวิตกลับมาในสภาพชายหนุ่มวัยกลางคน และอีกครั้งที่เขาได้พบกับเดซี่ เพื่อนหญิงในวัยเด็กของเขาซึ่งตอนนั้นเธอกลายเป็นนักเต้นบัลเลย์ที่แสนสวยและมีชื่อเสียงในนิวยอร์ก

ขณะเดียวกันเขาก็ได้พบทอมมัส พ่อของเขาซึ่งกำลังล้มป่วยลง ในวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อของเขาได้เล่าความจริงว่าเขาเป็นพ่อที่ละเลยลูกให้ฟัง เบนจามินโกรธและสับสนมาก แต่เมื่อพ่อเขาเสียชีวิตลง เขานึกถึงคำพูดของกัปตันไมค์ ที่เคยบอกกับเขาว่า “You can be as mad as a mad dog at the way things went. You could swear, curse the fates, but when it comes to the end, you have to let go” "เราอาจจะโกรธแค้นอาละวาดเหมือนเป็นหมาบ้ากับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เป็นไป เราอาจด่าทอโชคชะตา แต่ท้ายที่สุด ก็ต้องปล่อยวาง ปล่อยมันให้ผ่านไป"

อีกข้อคิดหนึ่งที่ฉันชอบคือ ที่บ้านพักคนชรานั้นมีชายชราคนหนึ่งที่สติไม่สมประกอบ คนหนึ่งที่ทุกครั้งที่เจอเบนจามินเขามักบอกว่า "คุณรู้ไหมผมเคยถูกฟ้าผ่ามาแล้ว 7 ครั้ง..." ครั้งหนึ่งตอนที่กำลังให้อาหารกับม้าของเขา.... ครั้งหนึ่งตอนที่กำลังซ่อมหลังคา.... ครั้งหนึ่งตอนที่กำลังเดินออกกำลังกาย.... ครั้งหนึ่งตอนที่กำลังเดินไปที่ตู้รับจดหมาย ฯ.... เขาพูดต่อว่า "ตาผมบอดไปข้างหนึ่ง หูฟังได้ไม่ชัดเจน มือไม้สั่นเป็นบางครั้ง หลงๆลืมๆ แต่คุณรู้ไหมพระเจ้าช่วยเตือนผม ให้รู้สึกโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่...."

เรื่องดำเนินไปถึงตอนที่เดซี่ถูกรถชนขาหักและเต้นบัลเลย์ไม่ได้อีก เธอเสียใจมาก    เบนจามินเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “Sometimes we're on a collision course, and we just don't know it. Whether it's by accident or by design, there's not a thing we can do about it" "บางครั้งในยามที่เกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นเราไม่อาจรู้เลยว่า มันเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นเพราะใครวางแผนมีการกำหนดไว้ล่วงหน้า และเราทำอะไรกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลยนอกจากยอมรับมัน"

เบนจามินกับเดซี่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในตอนแรก เพราะเขาทั้งสองอยู่ในวัยกึ่งกลางของชีวิตเดซี่ถามเบนจามิน "คุณยังจะรักฉันไหมหากฉันแก่ลง หน้าตาเหี่ยวย่น?” เบนจามินย้อนถามเดซี่ "คุณยังจะรักผมไหม หากผมเด็กลง มีสิวขึ้นเต็มหน้า ขี้กลัว และอาจฉี่รดที่นอน?”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อสภาพร่างกายของทั้งสองเริ่มแตกต่าง ทั้งคู่สับสนแต่ในที่สุดเดซี่ก็ยอมรับได้เพราะเธอคิดได้ว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์พร้อม และบอกกับเบนจามินว่า “I wanna remember us just as we are now” “ ฉันจะจำแค่ว่าเราได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นนี้.."

ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง เบนจามินออกเดินทางร่อนเร่ไปหลังจากที่ลูกสาวเขาคลอดมา เขาส่งจดหมายและข้อความถึงลูกสาวของเขาอยู่เสมอ ในโปสการด์ใบหนึ่งเขาบอกแคโรไลน์ลูกสาวของเขาว่า “For what it's worth: it's never too late or, in my case, too early to be whoever you want to be. There's no time limit, stop whenever you want. You can change or stay the same, there are no rules to this thing. We can make the best or the worst of it. I hope you make the best of it. And I hope you see things that startle you. I hope you feel things you never felt before. I hope you meet people with a different point of view. I hope you live a life you're proud of. If you find that you're not, I hope you have the strength to start all over again.” "ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปหรือเร็วเกินไปที่จะเป็นคนที่ลูกอยากจะเป็น ไม่มีเวลาที่จำกัดไม่มีกฏบังคับว่าจะให้เราเปลียนแปลงหรือหยุดอยู่ที่เดิม ทุกคนมีสิทธิที่จะทำชีวิตให้ดีที่สุดหรือเลวร้ายลง แต่พ่อก็หวังว่าลูกจะทำให้มันดีที่สุด พ่อหวังว่าลูกจะพบกับความหรรศจรรย์แห่งชีวิต รู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ได้พบผู้คนที่มีความคิดหลากหลาย หวังว่าลูกจะมีชีวิตที่น่าภาคภูมิ และหากวันนี้ลูกรู้ว่าชีวิตไม่ได้เป็นอย่างนั้น พ่อขอให้ลูกมีแรงกำลังที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"

ช่วงสุดท้ายของชีวิตเบนจามินได้พบกับเดซี่อีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเธอได้ผ่านฝนผ่านหนาวย่างเข้าสู่วัยชรา แต่เขากลับกลายเป็นเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบและหลงลืมชีวิตที่เคยผ่านมา และในที่สุดเขาก็เสียชีวิตลงในอ้อมแขนของเดซี่นั่นเอง......

---------------------------------------------------------------------------------------------

วันนี้ฉันไปกล่าวคำอำลากับเพื่อนร่วมงานชาวฮินดูคนหนึ่งที่จากไปอย่างกระทันหันและก่อนวัยอันควร เขาเข้านอนตามปกติและไม่ตื่นมาอีกเลยในตอนเช้า เพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นที่รักการทำงาน มีอัธยาศัยดี ทุกคนรักเขา แม้เจ้านายคนก่อนๆที่ย้ายไปที่อื่นก็ยังจำเขาได้และถูกถามถึงบ่อยครั้ง วันนี้เขานอนอยู่ที่โถงของบ้านรายล้อมด้วยดอกไม้หลากสีสันหลายชนิด พวกเราถือดอกไม้ไปวางไว้ที่เท้าเขาเป็นการแสดงการไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

สัปดาห์นี้สิงคโปร์กล่าวคำอำลากับ มาดาม กวา กอก ชู อดีตภริยาของ ลี กวน ยู รัฐบุรุษและนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ เธอยังเป็นมารดาของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอีกด้วย เธอผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นดังแม่ของประเทศนี้ ว่ากันว่าเธอเป็นเบื้องหลังสำคัญในการบริหารประเทศมาโดยตลอด เธอมีส่วนในการช่วยเสริมสร้างทำให้สิงคโปร์เป็นสิงคโปร์ที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ลี กวน ยู กล่าวไว้อาลัยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระโหยว่า หากไม่มีเธอผู้เป็นเสาหลักในชีวิตของเขา เขาคงเป็นคนละคนกับทุกวันนี้ เขาคงมีชีวิตที่ต่างไปจากนี้ หลังจากป่วยหนักมา 2 ปีหลังนี้ มาดาม กวา จากไปอย่างสงบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฉันนึกถึงคำพูดข้างบน..ท้ายที่สุด... ก็ต้องปล่อยวาง

 

หมายเลขบันทึก: 401658เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2010 21:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 10:52 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

  ขอบคุณครับที่สรุปรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้อ่านในเวลาที่สั้น หลาย ๆ เรื่องในชีวิตของคนไทย ต้องนำคำสอนของท่านพุทธทาส (http://www.buddhadasa.com/index.html) ที่บอกว่า "ช่าง..มันเถอะ.." มาปรับใช้ครับ 

  • ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง...ก็คงต้องปล่อยวาง(ให้ได้)
  • ขอบคุณเรื่องราวมากค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณคณิน และอาจารย์กาญจนา

ขอบพระคุณที่กรุณาฝากข้อมูลและข้อคิดที่ดีไว้ค่ะ

ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

ทุกชีวิตเดินทางมาและไปจากโลก เหมือนถูกโปรแกรมไว้แล้ว

ดิฉันเชื่ออย่างนี้

และคิดว่า หน้าที่ของเราคือ ดำรงตนอย่างมีสติ ปฏิบัติกิจประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลก ไม่ทำความทุกข์แก่ใคร

 

ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ค่ะ จำได้ว่าเต็มตื้น

แบรตต์ พิท เล่นได้ดีมาก

คุณปิริมารจ สรุป เล่า แปลความได้สวยงามเชียวค่ะ

เมื่อครู่นี้ตั้งใจจะไปหาสามี และบอกเค้าว่าขอโทษ

ฉันรักเธอ แต่ยังอยากอ่านเรื่องราวอื่นๆของคุณอีก

ก็เลยโทรไปก่อน บอกว่าสักครู่จะไปร้องเพลงกัน

สุดท้ายก็ต้องปล่อยวาง วางลงก็เป็นสุข

คุณภูสุภา

ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆที่ฝากไว้ค่ะ ชอบจัง..หน้าทีที่คุณกล่าวถึง รอบตัวคงมีแต่ความสงบสุขค่ะ

ชอบ แบรตต์ พิท มากเหมือนกันค่ะ เขาเล่นได้ดีทุกเรื่อง

คุณ saowalak_sch

โทรไปบอกว่า..รัก ก็โรแมนติกดีไม่น้อยค่ะ

ขอให้ร้องเพลงให้สนุกนะคะ

วางให้เป็นก็ว่าง

ว่างไม่เป็นก็วุ่น

วุ่นมากจนบ่นไม่มีเวลา

แม้กระทั่งจะรู้สึกตัว

ขอบคุณครับ...

สวัสดีค่ะ คุณ สายลม แสงแดด

ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

เบนจามินใช้ชีวิตในวัยเด็กร่วมกับผู้คนในบ้านพักคนชราด้วยความผาสุกด้วยสภาพร่างกายและความคิดที่ใกล้เคียงกับคนเหล่านั้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท